เมื่อเครื่องยนต์ดับๆ ติดๆ

บางครั้งการที่นักประดิษฐ์คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ามากขึ้น ผู้บริโภคหรือประชาชนคนทั่วไปที่เป็นผู้ใช้งาน ก็เกิดความสับสนว่า
สิ่งที่เห็นว่าเป็นความก้าวหน้าหรือทันสมัยนั้น เป็นของดีที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ที่เกิดขึ้นมา เพียงเพื่อแค่แสดงให้เห็นว่ามีของใหม่ๆเกิดขึ้นมา และเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะต้องทำการเพิ่มราคาจำหน่ายจากรุ่นเดิมเท่านั้น
ด้วยเหตุผลที่ว่าอุปกรณ์หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นปัจจุบันนี้ ส่วนมากเกิดขึ้นมาเพียงเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักประดิษฐ์ และไม่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด หรือจะพูดว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยทางเทคโนโลยีที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อการใช้งานโดยตรงก็คงไม่ผิดนัก
ตัวอย่างอุปกรณ์ที่เข้าข่ายดังกล่าวซึ่งถูกบรรจุมาในรถยนต์ยุคใหม่ เช่น ระบบนำทางด้วยดาวเทียมหรือ GPS ซึ่งปัจจุบันนี้มีการติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถยนต์หลายยี่ห้อ โดยที่อุปกรณ์ดังกล่าวนี้ไม่ได้ทำให้รถยนต์มีประสิทธิภาพและสมรรถนะสูงขึ้นแต่อย่างใด และไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ทางด้านการประหยัดเชื้อเพลิงแต่น้อย เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่ทำให้ผู้ขับรถสามารถขับรถยนต์ได้ง่ายขึ้นในบางโอกาสเท่านั้นเอง
หรืออุปกรณ์เสริมที่เรียกกันว่า “แป้นเปลี่ยนเกียร์ ( Paddle Shift )” ซึ่งติดตั้งเอาไว้หลังพวงมาลัยในรถยนต์แบบเกียร์อัตโนมัติ และมีการประกาศสรรพคุณว่าเพื่อให้ผู้ที่ขับรถยนต์สามารถปรับเปลี่ยนอัตราทดของเกียร์ได้โดยที่ไม่ต้องละมือไปจากพวงมาลัย ทั้งที่การขับรถในชีวิตประจำวันทั่วไปนั้น หากผู้ขับต้องการเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ด้วยตนเองจริงๆ การจะใช้มือไปโยกที่คันเกียร์ก็ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิ หรือเสียจังหวะในการขับขี่ไปแต่อย่างใดทั้งสิ้น
หรือตัวอย่างเช่นระบบที่ควบคุมอุปกรณ์หลายอย่าง โดยมีสวิทช์ควบคุมอยู่ที่พวงมาลัย (Multi Function Steering Wheel) ซึ่งไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้รถยนต์คันนั้นๆสามารถขับขี่ได้รวดเร็วขึ้น หรือมีการทรงตัวที่ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่ารถยนต์คันนั้น มีระบบใหม่ๆที่ถูกนำเข้ามาเสนอให้ผู้บริโภคได้ใช้งานเท่านั้นเอง
หรือระบบที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในโลกและในประเทศไทยเวลานี้ นั่นคือ ระบบกุญแจอัจฉริยะหรือสมาร์ทคีย์ ซึ่งผู้ขับขี่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กุญแจไขปลดล็อกที่ประตูอีกต่อไป รวมไปถึงเมื่อต้องการที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ไม่จำเป็นต้องสอดลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ และบิดลูกกุญแจเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพียงแค่ผู้ขับเหยียบลงไปบนแป้นเบรกและกดปุ่มสตาร์ทเท่านั้น เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาได้ไม่ต่างไปจากการบิดสวิทช์กุญแจแม้แต่นิดเดียว
นอกเหนือจากระบบตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นแล้ว ยังมีอุปกรณ์และระบบการสั่งการหรือระบบการทำงานอีกหลายอย่างที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความฟุ่มเฟือยทางเทคโนโลยี หรือถูกบรรจุเข้ามาในรถยนต์เพียงเพื่อที่จะสามารถเพิ่มราคาจำหน่ายให้สูงขึ้นได้เท่านั้นเอง และยังมีระบบหรืออุปกรณ์บางอย่างที่ถูกติดตั้งเข้าในรถยนต์สมัยนี้ โดยที่ยังมีข้อสงสัยว่าจะทำให้เกิดผลตามที่ได้ประกาศสรรพคุณจริงหรือไม่
ตัวอย่าง เช่น ระบบการดับเครื่องยนต์เมื่อเหยียบเบรกจนรถหยุดสนิทลงไประยะหนึ่ง และเครื่องยนต์จะติดทำงานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ต่อเมื่อมีการปล่อยเท้าจากแป้นเบรกไปแตะที่แป้นคันเร่ง หรือเมื่อมีการขยับที่พวงมาลัยในลักษณะเตือนให้รู้ตัวว่ากำลังจะขับเคลื่อนที่ต่อไป โดยที่ระบบดังกล่าวรู้จักกันในนามของ Idling Stop หรือ Automatic Start and Stop ซึ่งนัยว่าเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยให้การใช้รถยนต์เกิดความประหยัดมากขึ้น
โดยความหมายของคำว่าประหยัดตามนิยามดังกล่าว คือประหยัดเชื้อเพลิงเพราะเครื่องยนต์ดับลงไปไม่ต้องทำงาน ขณะจอดติดไฟแดงหรือจอดหยุดนิ่งอยู่กับที่ในระยะเวลาสั้นๆ และประหยัดในแง่ของการลดมลพิษจากไอเสียที่จะต้องมีการปล่อยออกมาขณะเครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งส่งผลไปถึงการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนตามมานั่นเอง
แต่ในทางเทคนิคพื้นฐานของเครื่องยนต์ทั่วไป การที่เครื่องยนต์ต้องดับๆ ติดๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สตาร์ทเครื่องยนต์ อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงจะสูงกว่าปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานในจังหวะรอบเดินเบา และที่สำคัญคือมอเตอร์สตาร์ทที่ต้องทำงานมากครั้งขึ้น ก็จะมีการสึกหรอเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
นั่นหมายความว่าหลักการดังกล่าวแม้ว่าจะประหยัดเชื้อเพลิงลงไปได้เล็กน้อย ประหยัดหรือลดมลพิษลงไปได้บ้าง แต่ก็ต้องมีการสึกหรอของชิ้นส่วนบางอย่างเช่นมอเตอร์สตาร์ทมากขึ้นด้วยเช่นกัน
แล้วอย่างนี้เราจะหาข้อสรุปได้อย่างไรว่า ระบบหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นมันมีผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรงจริงหรือไม่ครับ