สัญญาณสากล

สัญญาณสากล

ในบรรดาประเทศสมาชิกAECที่สามารถขับรถยนต์จากประเทศไทยเข้าไปยังประเทศเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล

มีเพียงแค่ 6 ประเทศ ประกอบไปด้วย ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า หรือเมียนมาร์, มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ซึ่งทั้งหมดทุกประเทศที่กล่าวมานี้ผมเคยขับรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปมาไม่น้อยกว่าประเทศละ 4-5 ครั้ง บางประเทศมากกว่า 20 ครั้งด้วยซ้ำไป

สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาในทุกวันนี้และเชื่อว่า ต่อให้ถึงกำหนดเวลาที่เปิด AEC แล้ว ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่หมดไปคือ การที่ป้ายทะเบียนของแต่ละประเทศยังคงใช้ตัวอักษรของใครของมัน ยกเว้นเพียงแค่มาเลเซีย, สิงคโปร์ และ เวียดนาม เท่านั้น ที่ใช้อักษรภาษาอังกฤษและเลขอารบิกบนแผ่นป้ายทะเบียน

ดังนั้นเมื่อรถยนต์จากประเทศไทยที่บนแผ่นป้ายทะเบียนใช้ตัวอักษรภาษาไทย จะขับเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมดที่กล่าวถึง จึงต้องไปทำการแปลหมวดตัวอักษรให้เป็นภาษาอังกฤษเสียก่อน จากนั้นจึงต้องทำป้ายทะเบียนสากลหรืออย่างน้อยก็ต้องทำแผ่นสติกเกอร์แทนป้ายทะเบียน โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย จึงจะได้รับอนุญาตให้ขับรถเข้าประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศได้

ต่อจากนั้นก็ยังต้องซื้อหรือทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยของประเทศเพื่อนบ้านด้วย ต่อให้รถยนต์จากประเทศไทยมีการทำประกันภัยเอาไว้กับบริษัทที่เป็นสากลแล้วก็ตาม ปัญหาถัดมาที่เกิดขึ้นก็คือนอกจาก ไทย, มาเลเซีย และ สิงคโปร์ แล้ว ประเทศอื่นๆ ที่ผมเอ่ยชื่อมาทั้งหมดนั้น ป้ายสัญญาณจราจรจำนวนไม่น้อย ยังจัดทำตามลักษณะของตนเองที่ไม่เป็นสากลและยากแก่การเข้าใจ

ในจำนวน 7 ประเทศที่ผมกล่าวมาซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย มีเพียงแค่ 3 ประเทศที่ขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านซ้ายด้วยรถยนต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวา 3 ประเทศดังกล่าวประกอบไปด้วย ไทย, มาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยที่บางประเทศค่อนข้างจะจำกัดและเกี่ยงงอนมากกับการนำรถยนต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวาของตัวรถไปขับใช้งานในประเทศของเขา เช่น ลาว และ เวียดนาม เป็นต้น

ในขณะที่พม่า ก็มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างมากที่สุดในการใช้รถยนต์ กล่าวคือ พม่า เคยเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งควรที่จะใช้รถยนต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านขวา และขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านซ้ายของถนนตามแบบประเทศอังกฤษหรืออาณานิคมของอังกฤษอื่นๆ ซึ่งเหมือนกันกับไทยและญี่ปุ่น

แต่พม่ากลับขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านขวา และรถยนต์มากกว่าร้อยละ 70 ในพม่า มีพวงมาลัยอยู่ทางด้านขวาของตัวรถเหมือนรถยนต์ที่ใช้งานในไทย ซึ่งทำให้การขับรถยนต์ในพม่ามีลักษณะที่แปลกประหลาดกว่าที่อื่นในโลกนี้ หรือสามารถพูดได้ว่าพม่าเป็นประเทศเดียวในโลกที่ใช้รถยนต์พวงมาลัยขวาและขับชิดขอบทางด้านขวา

ที่แปลกมากไปกว่านั้นคือการใช้สัญญาณไฟ เพื่อสื่อความหมายระหว่างรถยนต์ที่แล่นอยู่บนท้องถนนด้วยกัน ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้เมื่อมีรถวิ่งไปถึงทางร่วมทางแยกที่ตัดกัน หากมีรถที่อยู่คนละเส้นทางเปิดสัญญาณไฟหน้าให้สว่างวาบขึ้นมา หมายความว่ารถคันที่เปิดไฟหน้าวาบขึ้นมานั้น อนุญาตให้รถที่วิ่งอยู่บนทางที่จะตัดผ่านกันสามารถวิ่งผ่านทางร่วมทางแยกไปได้ก่อน

ในขณะที่การเปิดหรือการให้สัญญาณไฟดังกล่าวในไทย กลับมีความหมายตรงกันข้าม เพราะเราหมายความว่ารถยนต์คันที่เปิดไฟหน้าสว่างวาบขึ้นมานั้น กำลังบอกกับรถอื่นที่เห็นสัญญาณไฟว่า แกอย่าวิ่งออกมานะเพราะฉันไม่อนุญาต ด้วยว่าฉันกำลังต้องการที่จะวิ่งผ่านทางแยกทางร่วมนั้นไปก่อน

หรือสัญญาณสากลที่ใช้กันทั้งโลกเช่นเมื่อมีรถขับตามหลังมา และให้สัญญาณขอแซงขึ้นหน้าไม่ว่าจะด้วยการบีบแตรขอทางหรือเปิดไฟหน้าสว่างวาบขึ้นมาก็ตาม ถ้าเป็นในประเทศที่ขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านซ้ายเหมือนไทย หากรถคันที่กำลังจะถูกแซงเห็นว่าทางข้างหน้าว่างและปลอดภัยเพียงพอ ก็จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อบอกว่าแซงขึ้นไปได้ หากเห็นว่ามีรถสวนหรือมีความปลอดภัยไม่เพียงพอก็จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา เป็นการบอกว่ามีรถสวนมาหรือมีอันตรายจงอย่าเพิ่งแซง

ในขณะที่ในประเทศที่ขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านขวา เมื่อเห็นว่าปลอดภัยรถที่ถูกแซงก็จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวา หรือหากเห็นว่าไม่อยู่ในระยะที่ปลอดภัยก็จะให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย เพื่อบอกว่าอย่าแซงนะเพราะมีอันตรายรออยู่ เป็นสัญญาณที่เข้าใจตรงกันทั้งโลกไม่ว่าจะอยู่ในทวีปไหนหรือขับรถชิดขอบทางด้านใดก็ตาม

แต่ในพม่ากลับแตกต่างกันจนสิ้นเชิง และน่าจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ เพราะในขณะที่พม่าขับรถยนต์ชิดขอบทางด้านขวา ถ้าคุณขับรถยนต์ตามหลังรถในพม่าและรถคันหน้าเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายขึ้นมา ทั่วไปก็หมายความว่าอันตรายมีรถสวนห้ามแซง แต่ในพม่าหมายความว่าเชิญแซงด้านซ้ายของฉันขึ้นไปได้เลยทางข้างหน้าสะดวกปลอดภัย ในขณะที่การเปิดไฟเลี้ยวขวาขึ้นมาซึ่งในสากลโลกหมายความว่าให้แซงไปได้เพราะปลอดภัย แต่ในพม่ากลับหมายความว่า อย่าแซงนะข้างหน้ามีรถสวนหรือมีอันตรายรออยู่

เห็นไหมครับว่าการเปิดพรมแดนของแต่ละประเทศนั้น มันยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่จะต้องปรับปรุงเพื่อเป็นสากลและเป็นที่เข้าใจตรงกัน เพราะมิฉะนั้นอาจจะทำให้การเดินทางข้ามพรมแดนไปมาหาสู่กันและกันมีอันตรายรออยู่ได้ครับ