“ฮอนด้า ซิตี้” แรงเกินตัว ช่วงล่างวางใจได้

ส่วนเครื่องยนต์ จากการลองในสนามรูปวงรี ความยาว 2.18 กม. 2 รอบ แต่มีข้อจำกัดเรื่องความเร็วในช่วงต่างๆ ตามกฎของสนาม ก็พอรับรู้ได้ว่าน่าจะดี แต่ผมทิ้งท้ายไว้ว่า เอาไว้ลองบนถนนจริงแล้วค่อยมาว่ากันอีกที เพราะการขับขี่บนเส้นทางจริงจะต้องใช้งานหลากหลาย ทั้งช้าทั้งเร็ว ทั้งเร่ง และมีเวลาอยู่กับรถนานๆ กว่านั้นสักหน่อย 

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถึงเวลาได้ลองกันจริงๆ คราวนี้ขึ้นเหนือไปเชียงราย โดยเส้นทางทดสอบคือ “เชียงราย-เชียงของ” รวมระยะทางเกือบ 200 กม.  เส้นทางหลากหลาย ทั้งทางราบ ทางขึ้นลงเขา ทางตรง ทางโค้ง จัดเป็นอีกเส้นทางที่น่าลองรถ เพราะมีทิวทัศน์สวยงามไม่ว่าช่วงผ่านทุ่งนา ป่าเขา เลียบลำน้ำโขง หรือว่าช่วงผ่านชุมชนที่สงบเงียบ อีกอย่างหนึ่งคือรถค่อนข้างน้อย และพื้นผิวที่เรียบ เรียกว่าดีเกือบ 100% จะมีบ้างที่ไม่ปกติ คือช่วงคอสะพานบางแห่งที่ไม่ราบเสมอกับพื้นถนน กลายเป็นเนินเล็กๆ ให้ล้อกระแทกเล่น 

สรุปได้ตรงนี้เลยครับว่า เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 1.0 ลิตร 3 สูบ ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตันเมตรที่ 2,000-4,500 รอบ/นาที ทำงานได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเป็นการไล่ความเร็ว หรือว่าการเร่งแซง รวมไปถึงช่วงของการไต่ขึ้นทางชันก็ทำได้ดี หรือจะให้บอกว่าแรงเกินตัว ก็ได้ครับ 

มันทำความเร็วได้สูง แต่เอาเป็นว่า ถ้าขับขี่ด้วยความเร็วทั่วไป ตามกฎหมายกำหนด เครื่องยนต์รองรับได้สบายๆ แบบไม่ต้องเค้น มันเพิ่มอัตราเร่ง เพิ่มความเร็วขึ้นได้เป็นธรรมชาติมาก

และเสียงของเครื่องยนต์ที่ทำงาน รวมถึงช่วงเรียกอัตราเร่ง ได้ยินบ้าง แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่เงียบ และเมื่อรวมกับเสียงอื่นๆ ทั้งเสียงลม เสียงยาง ที่ความเร็วในการเดินทางสัก 120 กม./ชม. ถือว่าการเก็บเสียงทำได้ดี แน่นอนมีเข้ามาบ้าง แต่ถือว่าค่อนข้างเงียบ 

และที่ความเร็วสูงๆ ช่วงล่าง รองรับได้ดี รถนิ่ง พวงมาลัยนิ่ง ทำให้ขับสบายๆ และย้ำอีกครั้งว่าที่ความเร็วเดินทางปกติทั่วไป ซิตี้ เป็นรถที่ขับได้สบายๆ ไม่เครียด เพราะเครื่องยนต์ก็ดี ช่วงล่างก็ใช้ได้ พวงมาลัย ซึ่งป็นเพาวะเวอร์ไฟฟ้า นิ่ง แม่นยำ และน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

การขับขี่บนเส้นทางภูเขาที่มีโค้งทั้งลึก และโค้งยาวๆ ต่อเนื่อง ช่วงล่างก็รับมือได้ไม่ยาก สร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้ แม้จะลองเพิ่มความเร็วให้มากกว่าการขับขี่ทั่วไปก็ยังไหวครับ แต่ก็รับรู้ได้ถึงการโยนตัวของตัวถังที่เริ่มมี และยางที่ที่เริ่มต่อสู้กับแรงจีและผิวถนนจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดยาวๆ ถึงช่วงนี้อาจจะต้องรู้สึกว่าต้องเพิ่มการใช้งานพวงมาลัยมากขึ้น ซึ่งหากใครมีประสบการณ์อยู่บ้าง ก็ไม่ยากอะไร ดังนั้นผมคิดว่ามันเป็นรถเล่นได้ในโค้ง ให้อารมณ์สปอร์ต ขับสนุก ใช้ความเร็วแบบมากกว่าปกติได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรมากเกินไป

ขณะที่เรื่องของการดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ดี นุ่มนวล นั่งสบาย รวมถึงการรีบาวด์หลังรถโดดขึ้นเนินย่อมๆ เช่น คอสะพาน ทำได้ดีเช่นกัน ช่วยให้รถกลับสู่การทรงตัวปกติได้รวดเร็ว 

ซิตี้ใหม่ ใช้ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง ทอร์ชั่น บีม ส่วนยางใช้ขนาด 185/60 R 15 เพราะว่ารุ่นที่ผมขับนี้เป็น SV ไม่ใช่ RS ที่เป็นตัวท็อปที่ใช้ยางขนาด 185/55 R16

เกียร์ ซีวีที ตัวนี้ทำงานได้ลื่นไหล ตอบสนองรวดเร็ว และแม่นยำ ไม่ค่อยมีจังหวะดีเลย์ให้รู้สึก เรียกว่าลบจุดอ่อนของซีวีทีลงไปได้มาก เป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้การขับขี่ไม่สะดุด แต่ก็ยังแนะนำว่า การใช้คันเร่งควรเป็นไปแบบนุ่มนวล ไม่กระแทกกระทั้น เพราะซีวีทีไม่ชอบแบบนั้น แตหากค่อยๆ เติมน้ำหนักลงไป การตอบสนองจะมาตามที่ต้องการ

สรุปในท้ายที่สุด จุดเด่นของซิตี้ คือ เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะร้อนแรงมากสำหรับอีโค คาร์ หรือแม้แต่นับรวมกลุ่มซับคอมแพคท์เข้าไปด้วยก็ตาม ขณะที่ช่วงล่าง การขับขี่ ควบคุม ก็รองรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างเหลือๆ ครับ 

นอกจากเรื่องของเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่างที่ทำออกมาได้ดีแล้ว ในแง่ของตัวถังก็พัฒนาขึ้น และใหญ่ขึ้น โดยความยาวเพิ่มขึ้นมา 113 มม. ความกว้างเพิ่มขึ้น 53 มม. ส่วนความสูงกดให้เตี้ยลง 10 มม. ส่วนระยะฐานล้อเท่ารุ่นเดิม

การออกแบบด้านหน้า ปรับแนวคิดออกแบบใหม่ เช่น กระจังหน้าที่กว้างขึ้น และเตี้ยลง รับกับรูปทรงใหม่ของรถ ดูสปอร์ตมากขึ้น ส่วนด้านหลังดูบึกบึน ขณะที่ภายในห้องโดยสารนั้นพัฒนาขึ้นชัดเจนโดยเฉพาะด้านหลังที่นั่งได้สบาย เพาะมีพื้นที่กว้างขวาง โดยเฉพาะช่วงห่างระหว่างเข่ากับเบาะหน้า และพื้นที่วางเท้า ขณะที่ตัวเบาะเองก็ออกแบบให้นั่งได้สบาย รูปทรง ความหนานุ่ม กำลังดี 

แต่ว่าเบาะของเจเนอเรชั่น 5 พับไม่ได้ ซึ่งทางวิศวกรให้เหตุผลว่าต้องการทำให้นั่งสบายขึ้น เพราะหากอออแบบให้พับได้ รูปทรงของเบาะจะต้องเปลี่ยนไป 

ส่วนเบาะผู้ขับขี่ ผมรูัสึกว่ายังไม่ชินนัก ต้องปรับกันสักพักกว่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบนักคือเบาะนั่ง หากยาวอีกนิดเพื่อให้รองรับต้นขาใกล้ๆ ข้อพับน่าจะนั่งได้สบายขึ้น

ฮอนด้า ซิตี้ เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวเมื่อ วันที่ 25 พ.ย.ปีที่แล้ว มีทั้งหมด 4 รุ่นย่อยคือ รุ่นท็อป RS ราคา 739,000 บาทรุ่ SV ราคา 665,000 บาท รุ่น V 609,000 บาท  และ รุ่น S 579,000 บาท 

และสำหรับ SV รุ่นที่ผมขับ มีออปชั่นมาตรฐานสำคัญเช่น ไฟหน้า โปรเจคเตอร์ ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟสำหรับขับขี่กลางวันแบบแอลอีดี เสาอากาศครีบฉลาม ไล่ฝ้ากระจกหน้า-หลัง เบาะหนังแท้ผสมหนังสังเคราะห์ วัสดุตกแต่งคอนโซลแบบเปียโนแบล็ค มือจับเปิดประตูด้านในโครเมียม ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบเปิด-ปิดประตู และสตาร์ทแบบไม่ใช้กุญแจ ระบบไอเดิล สต็อป พร้อมสวิทช์เปิด-ปิด หน้าจอแสดงข้อมูลขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีขาว ช่องจ่ายไฟสำรองด้านหน้า 1 ตำแหน่ง กระจกมองหลังตัดแสง หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบแอดวานซ์ ทัช รองรับแอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ รเบบเชื่อมต่อบลูทูธ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ระบบรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง สิริ ช่องเชื่อมต่อยูเอสบี 2 ช่อง ลำโพง 4 ดอก

ด้านความปลอดภัยมีถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างคู่หน้า ระบบเบรกเอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรก รเบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน สัญญาณไฟเบรกฉุกเฉิน กล่องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ เข้ฒขัดนิรภัย 3 จุด 5 ตำแหน่ง คู่หน้าเป็นแบบดึงกลับอัตโนมัติ  เป็นต้น 

ซึ่งหากเทียบกับ RS แล้ว RS จะมีอุปกรณ์ที่มากกว่าเช่น ไฟหน้าแอลอีดี ม่านถุงลม ระบบฮอนด้า คอนเน็คท์ ที่พักแขนเบาะหลัง ไฟตัดหมอกหน้าแอลอีดี ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย หรือ แพดเดิลชิฟท์ ครูส คอนโทรล ลำโพง 8 ดอก ช่องจ่ายไฟสรองด้านหลัง 2 จุด ขนาดยางที่ใหญ่กว่า และชุดแต่งอาร์เอส เช่น กระจังหน้า กันชนหน้า หรือว่าสปอยเลอร์หลัง เป็นต้น

แต่ถ้าเทียบส่วนต่างราคา 74,000 บาท หากต้องการประหยัดเงิน ผมเห็นว่าออปชั่นหลักๆ ที่มีอยู่ใน SV ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ