เปิด "แรงจูงใจ" ในต่างประเทศ ทำอย่างไรให้คนนิยมใช้ "EV"
นักเศรษฐศาสตร์ จุฬา เปิด "แรงจูงใจ" ต่างแดนชวนคนใช้รถ EV ที่มีมากกว่าการให้เงินอุดหนุนหรือส่วนลดซื้อรถครั้งแรกเท่านั้น
ดร. กติกา ทิพยาลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงนโยบายสนับสนุนยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ล่าสุดว่า รัฐบาลใช้เครื่องมือได้ถูกจุดระดับหนึ่ง เพราะการสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือเรื่องของราคา ทั้งเงินอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และการลดภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้า
อย่างไรก็ตาม ดร. กติกา มองว่า นี่ยังถือเป็นนโยบายที่สนับสนุนการซื้อในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ มากกว่าการใช้งานในระยะยาว โดยมาตรการรอบนี้จะมีอายุถึงปี 2568 เท่านั้น หากรัฐบาลต้องการสร้างดีมานด์ในประเทศเพื่อให้เกิดการผลิตมากขึ้นในอนาคต อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเกิดการย้ายฐานการผลิตของค่ายรถยนต์ต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทยอย่างจริงจัง รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงประชาชนที่ซื้อรถยนต์ใหม่ไปเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมาแล้วกว่า 7.5 แสนคัน กว่าจะถึงเวลาที่คนเหล่านี้ตัดสินใจซื้อรถคันใหม่อีกครั้งก็อาจหมดอายุมาตรการไปแล้ว
- ดร. กติกา ทิพยาลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย -
สำหรับการสนับสนุนการใช้รถ EV ในต่างประเทศ ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับสิทธิพิเศษที่ผู้ใช้รถ EV จะได้รับตลอดการใช้งาน ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนลดเมื่อซื้อครั้งแรกเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศที่มีผู้ใช้รถ EV มากที่สุดในโลกขณะนี้คือประเทศนอร์เวย์ ได้มีการวิจัยและพัฒนามาตั้งแต่ปี 2513 และสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% มาตั้งแต่ 2533 ปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลกถึง 87% ของรถยนต์ทั้งประเทศ โดยมีนโยบายส่งเสริมตั้งแต่การลดภาษีการซื้อรถ ภาษีป้ายทะเบียน ภาษีรถยนต์ประจำปี ลดค่าที่จอดรถในที่สาธารณะ และสามารถใช้ถนนเลนเดียวกับรถสาธารณะ
ขณะที่ประเทศเยอรมนี ในฐานะผู้นำข้อตกลง EU Green Deal ได้มีการยกเว้นการจัดเก็บภาษียานยนต์เป็นเวลา 5-10 ปี และสนับสนุนเงินชดเชย 8,000-10,000 ดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงสิทธิพิเศษ อาทิ ไม่เสียค่าที่จอดรถ หรือมีสิทธิเข้าบางพื้นที่ที่เปิดให้เฉพาะรถ EV
ส่วนประเทศสหรัฐ ในปี 2563 ให้เงินอุดหนุนสูงสุดถึง 7,500 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อรถ EV กับบริษัทขนาดเล็กและกลาง แต่สำหรับค่ายรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น GM และ Tesla ไม่ได้รับการสนับสนุนในส่วนนี้ เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมียอดขายเกินกว่าโควตาที่รัฐบาลสหรัฐกำหนดไว้
ในฝั่งเอเชีย เจ้าแห่งการผลิตยานยนต์อย่างญี่ปุ่น มีทั้งการให้เงินสนับสนุนคนซื้อรถ ลดและยกเว้นภาษี ด้านกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมได้เน้นการส่งเสริมให้ค่ายรถยนต์วิจัยพัฒนาระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนประเทศจีน อาจให้เงินอุดหนุนไม่มากนักระหว่าง 1,800-4,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีการสนับสนุนด้านอื่นแตกต่างกันไปตามมณฑล อาทิ ลดค่าที่จอด ลดค่าชาร์จไฟในที่ชาร์จสาธารณะ และฟรีค่าผ่านทาง
ขณะที่ในประเทศไทยนั้น มีบริบทที่แตกต่างออกไป การจอดรถตามท้องถนนสามารถจอดได้ฟรีอยู่แล้ว ส่วนพื้นที่จอดรถที่เสียค่าจอดมักเป็นของภาคเอกชน ดังนั้น ควรมีการร่วมมือกับภาคเอกชนโดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ให้มีการลดค่าจอดหรือค่าชาร์จไฟ หรือแม้แต่การพิจารณาให้รถ EV สามารถใช้ทางด่วนฟรี ก็เป็นการส่งเสริมที่เหมาะกับบริบทกรุงเทพมหานครที่คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชานเมืองและเดินทางเข้ามาทำงานระหว่างวัน รวมถึงควรขยายจุดชาร์จสาธารณะให้ไม่กระจุกตัวอยู่ภายในพื้นที่กรุงเทพชั้นในเท่านั้น
ในระยะยาว เพื่อให้ยอดการใช้รถ EV ถึงเป้าหมายตามโรดแมพการพัฒนาวงการ EV ของรัฐบาลไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผน 30@30 ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ที่จะสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกและภาคีกว่า 40 ประเทศหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30% ภายในปี 2573
ดร.กติกา เสนอให้ภาครัฐผลักดันการผลิตรถ EV ใช้ภายในประเทศ แม้จะไม่สามารถผลิตเพื่อส่งออกแข่งกับแบรนด์ใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดได้ แต่ภาครัฐสามารถกำหนดให้รถในหน่วยงานราชการหรือรถขนส่งสาธารณะเป็นรถ EV สัญชาติไทย ซึ่งหลายประเทศก็เริ่มจากตรงนี้ อาทิ เกาหลีใต้ หรือแม้กระทั่ง VinFast จากเวียดนาม ก็เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและได้เริ่มทำการตลาดในประเทศสหรัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้วในขณะนี้
นอกจากนี้ ดร.กติกา อธิบายถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์ที่อาจเกิดสภาวะที่เรียกว่า “ผลกระทบย้อนกลับ” (Rebound effect) เมื่อประชาชนรู้สึกสบายใจกับการใช้รถ EV ที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าน้ำมันราคาแพงอีกต่อไป ต้นทุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต่อหน่วยเมื่อเปรียบเทียบกับระยะทางวิ่งที่ลดลง และไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้รถอาจใช้งานเกินความจำเป็น
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬา ย้ำว่า ต้องไม่ลืมว่าการใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ผลรวมของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศมากขึ้นก็ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน และยังมีผลกระทบที่วัดเป็นตัวเงินไม่ได้ เช่น รถติดมากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น หรือความพยายามผลักดันให้ประชาชนใช้ขนส่งสาธารณะอาจเป็นไปได้น้อยลง จึงควรมีแผนระยะกลางและยาวรองรับการใช้งานอย่างแพร่หลายของรถ EV ด้วย