Lexus ES300h เงียบ นุ่ม เนียน แต่ก็รักสนุก
ตั้งแต่โตโยต้า เปิดตัวแบรนด์ใหม่ เป็นแบรนด์พรีเมียม คือ Lexus (เลกซัส) ในสหรัฐ เมื่อปี 2532 รถในตระกูล ES ก็เกิดขึ้นในเวลานั้นเช่นกันควบคู่กับรุ่นใหญ่อย่าง LS และทำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง ถึงปัจจุบัน เป็นเจเนอเรชั่นที่ 7
Lexus ES (เลกซัส อีเอส) เป็นซีดานขนาดกลาง ตลาดเดียวกับ Merceded-Benz E-Class หรือว่า BMW 5 Series และในบ้านเรา ก็มีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบอยู่ไม่น้อย แต่ขนาดตลาดยังห่างกันมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาของ Lexus สูงกว่าคู่แข่ง
เหตุผลหนึ่งก็เพราะเป็นรถนำเข้า (CBU) ทำให้มีภาระภาษีศุลกากร ขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ หรือว่า บีเอ็มดับเบิลยู เน้นทำตลาดรถประกอบในประเทศ (CKD)
แต่ก็อย่างที่บอกว่า ES ก็มีแฟนๆ อยู่พอควร ในกลุ่มคนที่ชื่นชอบแบรนด์ ชอบเอกลักษณ์ และต้องการรถพรีเมียมที่มีความแตกต่าง
Lexus ES300h ใหม่ เปิดตัวในไทย เมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว โดยมี 4 รุ่นย่อยให้เลือก ส่วนรุ่นที่อยู่กับผมวันนี้เป็นรุ่น Premium รุ่นรองท็อป ค่าตัว 4.21 ล้านบาท
เป็นรถที่ดูออกแบบมาได้ทั้งอารมณ์สปอร์ตและพรีเมียม กระจังหน้าขนาดใหญ่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน และทีมออกแบบจัดการให้ชิ้นส่วนอื่นๆ ทั้งกันชนหน้า โคมไฟ รวมถึงเส้นสายฝากระโปรงหน้าล้อไปกับรูปทรงของกระจัง ดูพลิ้วไหวคล้ายระลอกคลื่นทีเดียว
ผมชอบนะกับมุมมองด้านหน้า ดูสวยงามและแปลกตาดีทีเดียว ส่วนเส้นสายด้านข้างมีอารมณ์ของความเป็นคูเป้ ซีดาน อยู่ไม่น้อย กับเส้นสายหลังคาที่ลาดลงด้านหลัง กลมกลืนต่อเนื่องไปกับฝากระโปรงท้าย
ขณะที่มุมมองด้านหลังดูเรียบง่ายมากกว่า แต่ก็เชื่อมต่ออารมณ์จากด้านหน้าได้กลมกลืน กับเส้นสายจากด้านข้าง และยังเลือกใช้เส้นแนวนอนมาควบคุมอารมณ์ให้ดูกว้าง และพรีเมียม
ส่วนภายในห้องโดยสาร เบาะหลังแม้จะอยู่ใต้หลังคาที่ลาดลง แต่นั่งได้สบาย กว้างขวาง ไม่อึดอัด และเมื่อบวกกับระยะฐานล้อ 2,870 มม. ที่ถือว่าค่อนข้างทีเดียว นั่นทำให้มีพื้นที่วางเท้า และพื้นที่ว่างช่วงเข่าเหลือเฟือ เหมาะกับการเป็นรถผู้บริหาร
ยิ่งเป็นรุ่น Premium คันนี้ เบาะหลังยังสามารถปรับเอนได้ 8 องศา มีระบบอุ่นเบาะ มีม่านบังแดดด้านข้างของเบาะหลัง ม่านบังแดดด้านหลัง ช่องแอร์แบบแบ่ง 3 โซน และยังสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้จากปุ่มควบคุมที่บริเวณที่พักแขน
ขณะที่เบาะนั่งด้านหน้านั่งได้สบาย นุ่ม และกระชับ เดินทางไกลได้สบายๆ ปุ่มอุปกรณ์ต่างๆ ใช้งานถนัดมือ
Lexus ES300h มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ตัวถังยาว 4,975 มม. กว้าง 1,865 มม. สูง 1,445 มม. ความยาวฐานล้อ 2,870 มม. ความกว้างฐานล้อหน้า 1,600 มม. ล้อหลัง 1,617 มม. ความจุห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย 473 ลิตร
เป็นรถที่ใส่ออปชั่นมามากทีเดียว เริ่มตั้งแต่ด้านนอกกับไฟหน้า แอลอีดี แบบ 3-eye มาพร้อมเทคโนโลยีปรับไฟสูง-ต่ำอัจฉริยะ BladeScan Adaptive High-beam System ช่วยกระจายแสงไฟได้แม่นยำ ไฟท้ายแอลอีดี ฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์ใต้กันชน ยางขนาด 235/45 R18 หลังคามูนรูฟ
ภายในห้องโดยสารติดตั้งนหน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ด้วยระบบสัมผัส ภาพชัดเจน จอแสดงข้อมูลการขับขี่เห็นชัด ดูง่าย
ระบบปรับอากาศแบบ 3 โซน เบาะหน้าปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึก 3 ตำแหน่ง ปุ่มปรับดันหลัง เบะหลังปรับไฟฟ้า และปุ่มปรับเลื่อนเบาะหน้าด้านซ้ายที่บริเวณด้านข้าง ให้ผู้ขับหรือผู้นั่งเบาะหลังสามารถกดควบคุมได้ง่าย เมื่อต้องการเพิ่มพื้นที่วางเท้ามากขึ้น หากไม่มีผู้โดยสารด้านหน้า
ระบบปรับเบาะและพวงมาลัยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขึ้น-ลงรถ คือเมื่อเปิดประตูเบาะจะเลื่อนถอยหลัง พวงมาลัยก็จะหดตัวไปด้านหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้เข้า-ออกได้ง่ายขึ้น และเมื่อนั่งประจำที่แล้ว ก็จะกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งเอาไว้แต่เดิม
ม่านบังแดดหน้าต่างคู่หลัง ม่านบังแดดด้านหลัง ไฟเรืองแสงรอบห้องโดยสาร และการเปิด-ปิดไฟในห้องโดยสารแบบสัมผัส เอื้อประโยชน์ให้ผู้ขับไม่ต้องไปมองหาสวิทช์ ระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ระบบ Apple Car Play บลูทูธ ระบบแผนที่นำทาง
ด้านความปลอดภัยเช่น ถุงลมคู่หน้า ถุงลมป้องกันเข่าสำหรับผู้นั่งด้านหน้า ถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลม ระบบป้องกันก่อนการชน ระบบเตือนออกนอกเลน พร้อมการสั่นเตือนที่พวงมาลัย อแดฟทีฟ ครูส คอนโทรล ระบบเตือนมุมอับสายตา ระบบช่วยเบรกขณะถอยจอด ระบบควบคุมการทรงตัว ระบป้องกันการลื่นไถล ระบบช่วยจอด พร้อมจอแสดงภาพด้านหลังที่เห็นภาพได้ชัดเจน
Lexus ES300h Premium เป็นรถไฮบริด แบบไมล์ดไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด อยู่ที่ 218 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์ E-CVT
อัตราเร่งจัดว่าใช้ได้ครับ 0-100 กม./ชม. 8.9 วินาที และที่เด่นกว่านั้นคืออัตราเร่งช่วงการขับที่ทั่วไปมาได้รวดเร็ว ช่วยให้การเร่งแซงมีความคล่องตัวมาก เช่นเดียวกันการทำความเร็วที่ไล่ขึ้นไปไม่ยาก
และหากเอื้อมมือซ้ายไปปรับปุ่มเลือกโหมดทำงานที่บริเวณคอนโซลหน้าหลังพวงมาลัย เป็น Sport ก็จะเห็นการตอบสนองที่จัดจ้านขึ้นแบบชัดเจน พร้อมกับเสียงดุที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงความหวานอยู่เช่นเดิม
และเช่นเดียวกันหากเลือกปรับเป็นโหมด Eco ก็จะพบกับจังหวะการหน่วงที่ชัดเจนเช่นกัน เพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่สูงสุด ซึ่งโหมดนี้จะเหมาะกับการขับขี่ในเมือง หรือว่าช่วงที่จราจรหนาแน่น เพื่อช่วยลดการสิ้นเปลือง
ส่วนการขับขี่ทั่วไป จะใช้ Sport ก็ได้ หรือ Normal ก็ตอบสนองได้เพียงพออยู่แล้ว
พูดถึงอัตราสิ้นเปลือง Lexus เคลมไว้ที่ 23.2 กม./ลิตร แต่การใช้งานจริงผมทำได้มากกว่า 16 กม./ลิตร แต่ตอบได้ว่าถือว่าเป็นอัตราการสิ้นเปลืองที่โดดเด่นทีเดียว ค่อนข้างประหยัด เมื่อเทียบกับรูปแบบการขับขี่ใช้งานของผมเอง
จุดเด่นอีกอย่างของเครื่องยนต์คือ ค่อนข้างเงียบ หรือจะว่าไปแล้วก็เงียบทั้งคน ไม่ว่าจะเป็นเสียงลม เสียงยาง เป็นรถอีกคันที่เก็บเสียงจากภายนอกได้ดี
Lexus ES300h Premium ใช้ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลัง ดับเบิล วิชโบน เซ็ทมาค่อนข้างนุ่มนั่งสบาย รองรับเส้นทางที่ไม่ค่อยจะเรียบเนียนกริ๊บได้ดี รวมถึงช่วงคอสะพานที่ดูดซับแรงกระแทกได้ดี และการรีบาวด์ของช่วงล่างในจังหวะเส้นทางแบบนี้ก็ทำได้ดีเช่นกัน
แต่ขณะเดียวกันก็ให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่ไว้ใจได้ รถนิ่งทั้งทางตรง หรือทางโค้งก็จัดการได้ดี
อารมณ์อาจจะต่างจากรถพรีเมียมในตลาดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น BMW หรือว่า Merceded-Benz โดย Lexus จะนุ่มกว่า และการให้ตัวของตัวถังที่มากกว่า แต่การออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ก็มีส่วนช่วยเรื่องทรงตัวได้มากทีเดียว
พวงมาลัยผอมไปนิด ถ้าอ้วนอีกหน่อยก็ดี น้ำหนักเบา ขับขี่ในเมือง หรือว่าเข้าออกลานจอดรถ อาคารจอดรถได้สบายๆ การขับขี่ทางไกลก็เบาๆ สบายเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือการเซ็ทอารมณ์ตอบสนองในเส้นทางโค้งที่พวงมาลัยเบาๆ มือ จะกลายสภาพเป็นพวงมาลัยที่เพิ่มแรงต้านขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ชัดเจน ช่วยให้การคุมรถในโค้งมีความมั่นคงขณะที่ใช้ความเร็ว
โดยสรุปแล้ว ES เป็นรถที่มีอารมณ์ผสมผสานกันระหว่างความหรูหรา นุ่มสบาย กับสปอร์ต และถือว่าเป็นการผสมผสานที่ทำได้กลมกลืนน่าพอใจครับ