อนาคตในการทำ Search Engine Marketing
เมื่ออาทิตย์ก่อนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง Search Engine Marketing ครับ! เรียกว่านานทีเดียว ที่ไม่มีคนเชิญผมไปพูดเรื่องนี้
เกือบจะลืมไปแล้วว่า “โซวบักท้ง” เคยเป็นประธานชมรม Search Engine Marketing ประเทศไทย
จริงๆแล้ว “โซวบักท้ง”ได้ดิบได้ดี ลืมตาอ้าปาก ตั้งหลักปักฐานได้ในทุกวันนี้ ก็เริ่มมาจากการทำ Search Engine Marketing นี่แหละครับ
สำหรับผมแล้ว Search Engine Marketing ถือเป็นวิชาขุดทองอันยิ่งใหญ่ ของนักการตลาดออนไลน์ ที่ควรจะเรียนรู้กันทุกคน
แต่ทว่ามาช่วงหลังๆนี้ บรรดานักการตลาดต่างๆ เหมือนจะให้ความสำคัญกับเรื่อง Social Mediaกันมากกว่า จนดูเหมือนว่า Search Engine Marketing เริ่มแปลงสภาพกลายเป็นลูกเมียน้อยไปโดยปริยาย จริงๆมันสำคัญทั้งคู่นะครับ ไม่ควรจะมองข้ามอย่างหนึ่งอย่างใดไป
ในบางประเภทธุรกิจ Search Engine Marketing อาจจะมีความสำคัญมากกว่า Social Media เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าที่คนต้องอาศัยข้อมูลในการตัดสินใจซื้อสูง เช่น รถยนต์, บ้าน , กล้องถ่ายรูป, ครีมทาผิว ฯลฯ เพราะสินค้าพวกนี้ คนจะทำการเสิร์ชหาข้อมูล ก่อนทำการตัดสินใจซื้อ
ในงานบรรยาย พิธีกรถามคำถามหนึ่งที่น่าสนใจว่า “ลุงโซวบักท้ง คิดว่าอนาคตของ Search Engine Marketing จะเป็นอย่างไร”
คำถามนี้จริงๆ ตอบไม่ยากเลยครับ เพราะมันเริ่มเห็นเค้าโครงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว เรื่องนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกคือ Paid Search หรือ Google Adwords
สำหรับส่วนนี้ ระบบโฆษณาของ Google Adwords ในอนาคตจะง่ายขึ้นเรื่อยๆ ง่ายจนถึงขนาดว่าใครๆ ก็สามารถที่จะลงโฆษณาเองได้
อาจจะแค่ใส่เว็บไซต์ ติด Tracking ใส่งบประมาณ และหมายเลขบัตรเครดิต จากนั้นทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติหมด!
ถ้าเคยลงโฆษณา Google Adwords น่าจะพอรู้ๆกันอยู่ ทุกวันนี้การลงโฆษณา Google Adwordsมันวุ่นวายอยู่พอประมาณ ไหนจะต้องวิจัย keywords , เลือก keywords , ทำ Ad Copy , ตั้งราคา Bid ฯลฯ ที่สำคัญและปวดตับมากที่สุด คือการ Optimize ครับ เพราะเราต้องมานั่งเฝ้า Ad Set หรือ เฝ้า keyword ว่าอันไหนทำเงิน อันไหนไม่ทำเงิน ปรับจูน Ad หรือปรับ Bid กันแบบรายวัน
แต่ด้วยเทคโนโลยีบัจจุบัน ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า Google จะนำระบบ Big Data และระบบ AI มาใช้ในการรันระบบโฆษณาของตนเองอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า Google จะสามารถเลือก Keywords ที่โดนและเหมาะสมกับแคมเปญของเรามากที่สุด สร้าง Ad Copy ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังสามารถทำการ Optimize ราคา Bid ให้ Ads มีประสิทธิภาพสูงสุดได้เองอีกด้วย โดยขั้นตอนทั้งหมดนั้น แทบจะไม่ต้องใช้คนมามีส่วนร่วมเลยหรือถ้าใช้ก็จะใช้น้อยมาก
ดังนั้นเอเยนซีตัวกลาง ที่หากินกับค่า Fee อาจจะไม่มีงาน Google Adwords ให้ทำอีกต่อไป
ส่วนที่สอง คือ Organic Search หรือ การทำ Search Engine Optimization (SEO)
เป็นอีกส่วนหนึ่งที่นักการตลาดออนไลน์อาจจะต้องเหน็ดเหนื่อย ทำตัวไม่ถูกหรืออาจจะถึงขั้นเลิกทำ SEO ไปเลย โดยหลักน่าจะเกิดจากผลพ่วงของเทคโนโลยี Big Data ซึ่งทำให้เกิดผลลัพธ์การเสิร์ช Sแบบ “Personalize Search Result” คือ ผลลัพธ์การค้นหาใน Keyword เดียวกันของคนแต่ละคน จะมีผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน
กล่าวคือ มีคนหลายคน Search Google ใน Keyword คำเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า แต่ละคน อาจจะได้ผลลัพธ์ของการเสิร์ชที่ไม่เหมือนกันเลย เพราะ Google นำ Data บางส่วนของผู้ที่กำลังเสิร์ชเข้ามาประกอบการแสดงผลลัพธ์ด้วย
เช่น ผมบ้านอยู่แถว ลาดพร้าว ถ้าผมเสิร์ชกูเกิล ด้วย keyword คำว่า “ร้านก๋วยเตี๋ยว” ร้านก๋วยเตี๋ยวแถวลาดพร้าว ก็จะถูกแสดงผลขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆก่อน ในขณะที่บ้านเพื่อนผมอยู่ที่เชียงใหม่ ร้านก๋วยเตี๋ยวในเชียงใหม่ อาจจะขึ้นแสดงผลเป็นอันดับแรกๆก่อน
ประเด็นคือ Google ไม่ได้เก็บ Factor ในเรื่องของ Location เท่านั้น Google จะเก็บทั้งประวัติการเสิร์ช ประวัติคนใช้งาน Deviceในการเสิร์ช และอื่นๆอีกมากมาย มาใช้ในการประมวลผล และ แสดงผลลัพธ์
ท้ายสุดแล้วจะกลายเป็นว่านักทำ SEO จะไม่สามารถประเมินผลงานของตัวเอง จากอันดับของ Keyword ในผลการค้นหาได้อีกต่อไป เพราะไม่รู้จะเอา search result ของใครเป็นบรรทัดฐาน และด้วยเหตุนี้ มันจะส่งผลกระทบทำให้เราไม่สามารถย้อนรอย Algorithm ของ Google ได้ว่า มีอะไรบ้างที่เป็น Factor ที่แท้จริง ในการจัดเรียงอันดับ Keyword ของ Google บ้าง
ในอนาคตการทำ SEO อาจจะเหลือเพียงแค่ การพยายามสร้างคอนเทนท์ที่มีคุณภาพ ตาม Keyword ที่เราต้องการ โดยพยายามทำให้มีคนทำ Back Link หรือ มีคนแชร์คอนเทนท์ของเราให้มากที่สุดโดยเทคนิคการสร้าง Back Link ปลอมๆ จะถูก Google AI จับได้ทั้งหมด งาน SEO ของเอเจนซี่ อาจจะหายไปอีกหนึ่งงาน
ท้ายสุดของการบรรยาย ผมสรุปปิดท้ายแบบรวบรัดสั้นๆ เน้นๆ ว่า …จริงๆควรเรียก “โซวบักท้ง” ว่าพี่นะครับ ไม่ใช่ลุง !!!!