‘เจเน็ต เยลเลน’ ดีต่อไทยไหม?
ก่อนอื่นต้องบอกว่า โจ ไบเดน กำลังฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการเปิดตัวทีมงานด้านเศรษฐกิจ ต่างประเทศและความมั่นคงไปหลายท่านแล้ว
ในส่วนของทีมการเจรจาการค้ากับทีมที่ดูแลจีนและเอเชีย ยังไม่ได้ถูกเปิดตัวออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้น บทความนี้ จะขอโฟกัสในส่วนของทีมเศรษฐกิจที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปก่อน เธอคือ เจเน็ต เยลเลน
บทความนี้ จะขอกล่าวถึงข้อดีและข้อด้อย สำหรับการที่เยลเลนทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคลังของไบเดน รวมถึงผลกระทบต่อไทย ดังนี้
เริ่มจากข้อดีแรก อย่างที่ทราบกันว่าทั้งเจเน็ต เยลเลน และ เจย์ พาวเวล ต่างก็เคยเป็นเพื่อนร่วมงานในคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด โดยที่เยลเลนถือว่าเป็นรุ่นพี่ทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ในช่วงต้นๆของพาวเวลในเฟด เยลเลนก็เป็นรองประธานธนาคารกลางสหรัฐ และก่อนที่พาวเวลจะขึ้นประธานธนาคารกลางสหรัฐ ตัวเยลเลนก็เป็นประธานเฟดคนก่อนหน้าพาวเวล
อย่างไรก็ดี ทั้งคู่ ถือว่าสามารถทำงานกันได้ค่อนข้างดี โดยในช่วงที่พาวเวลเข้ามาเริ่มทำหน้าที่ในเฟดเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เขาเริ่มจากการดูแลด้านสถาบันการเงิน ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มเรียนรู้วิชาเศรษฐศาสตร์จากเยลเลนในบางส่วน โดยที่พาวเวลเอง ถือว่าเป็นคนที่เรียนรู้เร็วมาก เพียงไม่กี่ปี เขาก็ถือว่าเข้าใจในเศรษฐกิจสหรัฐแบบที่ดีกว่านักเศรษฐศาสตร์หลายท่าน กระนั้นก็ดี จุดดีของพาวเวลคือเป็นผู้ฟังที่ดี แม้จะรู้เรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ทว่าในช่วงที่เยลเลนอยู่ในเฟด ก็เปิดโอกาสให้เยลเลนได้แสดงความคิดเห็นในเฟดด้วยความนับถืออย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ ที่เขาเป็นประธานเฟด ส่วนเยลเลนเป็นรมว.คลัง ในแง่ของอำนาจตามกฎหมายสหรัฐ เฟดถือว่ามีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน ส่วนกระทรวงการคลังจะทำอะไรก็ต้องผ่านการโหวตของสภาคองเกรส ทำให้ในทางปฏิบัติ ณ วันนี้ ถือว่าพาวเวลดูจะมีอำนาจมากกว่าเยลเลนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐในตอนนี้
ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าด้วยบทบาทที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ จะส่งผลต่อทีมเวิร์กในการทำงานหรือไม่ อันนี้ ผมแค่ตั้งข้อสังเกตไว้ เพราะหลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ มักจะทำให้ทีมเวิร์กในการทำงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ข้อดีที่สองของเยลเลน คือ เธอเป็นคนที่สนใจด้านการจ้างงานเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดดีเป็นอย่างมากสำหรับในยุคนี้ เนื่องจากเฟดเองก็เปลี่ยนพันธกิจมาโฟกัสเรื่องการจ้างงานมากกว่าอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน ทำให้น่าจะเกิด Synergy ต่อการกระตุ้นตลาดแรงงานสหรัฐ โดยที่ไบเดนยังเลือก อเดวาล อเดเมโย ผู้ชายผิวดำคนแรก ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และที่สำคัญ เลือก เซซิเรีย เราส์ ผู้หญิงผิวดำคนแรกเช่นกัน ขึ้นมาเป็นประธานที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจ ซึ่งเราส์ถือว่าทำงานวิจัยด้านความเท่าเทียมของการจ้างงานของคนผิวสีในสหรัฐมาแบบละเอียดและทุกมุมมอง ทำให้ภารกิจการช่วยเหลือภาคการจ้างงานของสหรัฐจากทีมงานของไบเดน ดูแล้วมีความพร้อมมากกว่ารัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ค่อนข้างมาก
ข้อดีที่สาม คือ เงินสกุลดิจิตัล Cryptocurrency น่าจะมีโอกาสเกิดได้ยากมากในช่วงอย่างน้อย 4 ปีต่อไปนี้ เนื่องจากความเปิดกว้างจากทั้งเยลเลนและพาลเวลต่อเงินสกุล Crypto ถือว่ามีน้อยมาก จนอาจจะเรียกว่าไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้ โดยทั้งคู่เชื่อว่าเงินสกุลดังกล่าวไม่มีปัจจัยพื้นฐานหรือ Rationale รองรับเพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นเงินตราในความหมายของธนาคารกลาง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์จะสามารถยืนเป็นพระเอกได้อีกยาวๆจากจุดยืนดังกล่าวในเรื่องนี้ของทั้งคู่
คราวนี้ มาดูจุดด้อยของเยลเลนในฐานะ รมว. คลังสหรัฐกันบ้าง
จุดด้อยแรก คือ แม้ว่าเยลเลนจะอาวุโสพอที่จะพูดคุยกับทุกกลุ่มในพรรคเดโมแครตได้อย่างค่อนข้างดี ทว่าการบริหารด้านการคลังแบบค่อนข้างอนุรักษ์นิยมของเธอ อาจจะไม่ตอบโจทย์ต่อกลุ่มหัวก้าวหน้าของพรรค ซึ่งต้องการเห็นการลงทุนแบบเต็มที่ในโครงการด้านพลังงานสีเขียว ซึ่งน่าจะทำให้เกิดความเห็นต่างในจุดนี้ภายในพรรคเดโมแครต
จุดด้อยที่สอง ได้แก่ ตลาดจะเริ่มสับสนเมื่อสัญญาณจากทางการสหรัฐ แบ่งเป็น 2 เสียง คือ จากเฟดผ่านเจย์ พาวเวล และ จากกระทรวงการคลังสหรัฐ ผ่าน เจเน็ต เยลเลน ซึ่งทั้งคู่ถือว่าทรงอิทธิพลต่อตลาดใกล้เคียงกัน โดยแม้ในทางโครงสร้างองค์กร เฟดจะเด่นกว่ากระทรวงการคลัง แต่ด้วยความเก๋าและบารมี เยลเลนดูจะมีมากกว่าพาวเวลในตอนนี้ สิ่งนี้อาจทำให้ตลาดเกิดความสับสนขึ้นมาได้ไม่ยาก หากทั้งคู่มีจุดยืนที่ไม่เหมือนกันในเรื่องใหญ่ๆทางเศรษฐกิจที่ตลาดให้ความสนใจในอนาคต ปรากฏการณ์นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่อาจจะเกิดขึ้นมา
สำหรับผลกระทบต่อไทยสำหรับเยลเลนในฐานะ รมว. คลังนั้น ผมมองว่าเป็นผลดีต่อไทย เนื่องจากเยลเลนเป็นนักวิชาการยุค 80-90 ที่เชื่อในความคิดที่ว่าการค้าแบบเสรีและเปิดกว้างเป็นผลดีต่อประเทศต่างๆทั่วโลก ดังนั้น จุดยืนด้านการปกป้องทางการค้าต่อไทยจากเยลเลนน่าจะมีน้อยกว่าจากสตีเฟน มนูชิน รมว. คลังของทรัมป์ อย่างไรก็ดี ต้องมาลุ้นกันว่าทีมเจรจาการค้ากับทีมที่ดูแลจีนและเอเชียของไบเดน ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตัวออกมาอย่างชัดเจนจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรประกอบด้วย