ความล่มสลายจะเกิดขึ้น เมื่อศักยภาพ “หัวหน้าทีม-ผู้จัดการ และ ผู้นำ” ต่ำกว่าตำแหน่ง!?
ผู้นำประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี หลายคนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นผู้ชี้ชะตาว่า ประเทศจะทรง จะทรุด หรือจะรอดและรุ่ง
Part.1. ผู้นำทุกระดับเป็นผู้กำหนดอนาคตของทุกคน
ถ้าจะมองผู้นำระดับประเทศ ที่มีหน้าที่บริหารประเทศ ทุกท่านก็คงมองเห็นกันอยู่ว่า ผู้นำประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรี หลายคนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นผู้ชี้ชะตาว่า ประเทศจะทรง จะทรุด หรือจะรอดและรุ่ง
ผู้นำบางคนเก่ง มาพร้อมกับแนวคิดแนวการบริหารจัดการแบบใหม่ๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ แต่ก็ติดกับดักความโลภของตนเอง ติดกับดักทุนนิยม แสวงหาประโยชน์ของตนเอง จนต้องถูกโค่นล้ม
ผู้นำบางคน ที่มาจากภาพลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ จากพรรคเก่าแก่ ก็ติดอยู่ในหลักการ พูดเก่ง แต่อ่อนในเรื่องบริหารจัดการ เมื่อได้โอกาสเป็นผู้นำ ก็ไม่สามารถนำและสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้
และยังมีผู้นำอีกหลายคนที่เป็นตัวแทนมาจากเครือญาติที่ผู้นำตัวจริงอยู่ต่างประเทศส่งมาบริหารบ้านเมืองจนเละยิ่งไปกว่าเดิม
ขณะที่ผู้นำบางคน ขึ้นมาเป็นผู้นำด้วย “วิธีพิเศษ” ลากยาวมาได้นานหลายปี
แต่เนื่องจากตลอดชีวิตติดอยู่ในกรอบ ระเบียบ กฎราชการมาตลอดการทำงาน
เชี่ยวชาญในการแสดงอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวกับคนที่อ่อนด้อยกว่า แต่ขาดความกล้าในการคิด ในการปราบปรามบรรดา นักการเมือง ข้าราชการตัวใหญ่ๆ และมาเฟียจีน รวมถึงการทุจริตคอรัปชั่นในทุกกระบวนการยุติธรรมของประเทศทั้งระบบ ลอยตัวเหนือปัญหา ทำไม่รู้ไม่ชี้ หมกมุ่นอยู่อย่างเดียว ทำยังจะได้เป็นนายกต่อในปี 2566!
ได้แต่ฝันลมๆแล้งๆ ว่า ในปี 2566 นี้ ประเทศไทยจะได้ผู้นำ ที่ ดีและมีความสามารถมากกว่าหลายคนที่ผ่านมา เพราะ ผู้นำของประเทศเป็นผู้กำหนดอนาคตของทุกคนในประเทศ
Part.2.จากผู้นำประเทศ มาสู่ผู้นำองค์กรทุกระดับ
ใช่ว่าประเทศจะมีแต่ผู้นำแย่ๆเป็นส่วนมาก ในภาคธุรกิจเอกชนจำนวนไม่น้อย
ก็มีหลายธุรกิจ หลายบริษัท ที่ผู้นำในหลายๆระดับ ก็สร้างความเสียหายให้กับบริษัทอย่างที่คาดไม่ถึงเช่นกัน!
สิ่งที่จะบ่งบอกถึงศักยภาพของหัวหน้าทีมและผู้จัดการ มีอยู่หลายประเด็น และวัดผลด้วยประสิทธิภาพของทีมงานที่ตนเองบริหารว่าสามารถสร้างผลงานได้ ต่ำว่าเป้าหมาย หรือบรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน-องค์กร
ในขณะที่ส่วนมาก ผลงานของทีมงานที่ตนเองบริหาร มักจะต่ำกว่าเป้าหมาย หรือไม่ก็สร้างปัญหามากกว่าสร้างผลงาน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก ภาวะเศรษฐกิจ หรืออื่นๆ..(เท่าที่จะยกเหตุผลมาอ้าง..) แต่เท่าที่เห็น ตอนภาวะเศรษฐกิจดี หรือปรกติ ก็ยังคงมีผลงานที่แย่ๆไม่แตกต่างกัน!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า…หัวหน้าทีมและผู้จัดการในยุคปัจจุบัน ไม่ค่อยมีและไม่ค่อยได้ใช้ศักยภาพในการ “นำทีม” แต่ส่วนมากทำหน้าที่เป็นแค่ “ผู้รับสาร ” ก็คือ เข้าประชุมเป็นงานหลัก ผู้บริหารระดับสูงมีการเปลี่ยนแปลง มีการสั่งการอะไรมา ก็ทำหน้าที่เป็นผู้รับสาร เพื่อเตรียมไปส่งสารให้กับลูกน้อง….
จุดที่ทำให้ศักยภาพของทีม ถดถอย อยู่ตรงที่ในการ นำสารจากที่ประชุมมาแจ้ง หรือแม้กระทั่งการบ่งบอกเป้าหมายที่ต้องการให้ลูกน้องของตนเองทำ มักจะทำเรื่องหลักๆที่เป็นความถนัดก็คือ “การสั่ง” !
ลองเชื่อมโยงภาพใหญ่ของหัวหน้าทีมไปจนถึงผู้จัดการ ที่เข้าประชุม > รับสาร > ส่งสารให้ลูกทีมโดยการสั่ง และ สั่งอยู่ตลอดเวลา…เรียกว่ามีเวลามากมายชั่วชีวิตที่จะเข้าประชุม ที่จะสั่งงาน แต่ไม่เคยมีเวลาที่จะ “สอนงาน” และ”ติดตามผล”อย่างสร้างสรรค์…
Part.3.ลูกน้องผู้เคราะห์ร้ายของแต่ละบริษัท คิดกับผู้นำแย่ๆทุกระดับแบบนี้…..
ถ้าท่านเป็นลูกน้องของผู้จัดการลักษณะนี้…เป็นไปได้หรือไม่ว่า ท่านอาจจะกำลังคิดแบบนี้…
1.ถ้าหัวหน้าทีม-ผู้จัดการ มีงานหลักๆ(รับสารจากที่ประชุม แล้วมาวางท่าสั่งงานกับลูกน้อง) เพียงแค่นี้..เรา หรือใครๆก็สามารถเป็นผู้จัดการได้ (โดยมีคุณสมบัติเบื้องต้น คือ จบโท ภาษาอังกฤษดี ที่เหลือ…ไม่ค่อยมีอะไรดี แต่ถ้าเชลียร์ดี รู้จักเอาใจเจ้านาย ก็จะช่วยได้เยอะ!)
2.นอกจากจะไม่เคย “มีเวลา”สอนงานเรา ไม่เคยเป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำ (เพราะพี่ท่านจะมีสีหน้า ท่าทางที่ยุ่งอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่รู้ยุ่งอยู่กับคิดเรื่องงาน หรือคิดว่าจะชวนเจ้านายไปออกรอบ ไปสรรหาความบันเทิงที่ไหนดีถึงจะถูกใจเจ้านาย) เวลาเกิดความผิดพลาด หรืองานไม่บรรลุเป้าหมาย…ก็มักจะโยนความผิดมาให้ลูกทีม โดยบอกว่าพวกเรามีทักษะที่ต่ำทำให้งานล้มเหลว…เอ..แล้วผู้จัดการทักษะไม่ต่ำยิ่งกว่าหรือ?!
3.เมื่อไหร่ พวกผู้จัดการประเภท “ทักษะในการสั่งงานสูง แต่ทักษะในการสอนงานต่ำ” จะหลุดพ้นไปจากชีวิตของพวกเราซะที พวกเราจะได้ทุ่มเทกับงานได้เต็มที่กว่านี้ ได้รับการฝึกฝน หล่อหลอม ให้เก่งกว่านี้…ถ้าถึงเวลานั้น เราจะแสดงความสามารถออกมาให้เห็นเลยว่า…
พวกเราจะเป็นทีมงานที่มีศักยภาพสูงทันที.. ถ้ามีผู้จัดการที่ “ นำ-และบริหารเป็น ” !
เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ ทีมงานภายใต้การนำของหัวหน้าทีม-ผู้จัดการที่ไร้ศักยภาพ…จึงมักจะพบผลลัพท์อยู่สองเรื่องหลักๆก็คือ..ปัญหาในเรื่องของคนภายใต้การนำของตนเอง (ที่ทีมงานไม่ยอมรับ ขาดทีมสปิริต) กับเรื่องที่สองก็คือ ปัญหาในเรื่องของผลงาน..ที่ตกต่ำ ถดถอย อย่างต่อเนื่อง!
สุดท้ายก็คือ..อะไรคือศักยภาพของหัวหน้าทีม-ผู้จัดการที่ควรจะเป็น..ลองถามลูกน้องท่านดูสิครับ!