6 ทิศทางความ "ยั่งยืน" ปี 2566
ธุรกิจที่ประกาศแนวทางการดำเนินงานโดยยึดกรอบ ESG นอกจากการแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมแล้ว ยังต้องมีการพิสูจน์ธรรมาภิบาล ด้วยการแสดงให้เห็นถึงภาระรับผิดชอบในระดับคณะกรรมการ
วานนี้ (24 ก.พ.) สถาบันไทยพัฒน์ ได้ทำการแถลงทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 สำหรับให้หน่วยงานและองค์กรธุรกิจสามารถนำไปเป็นข้อมูลนำเข้าและใช้พัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของกิจการให้มีความครอบคลุมอย่างรอบด้าน
ทิศทางความยั่งยืนในปีนี้ ยังคงได้รับอิทธิพลจากกระแส ESG ที่ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นอย่างมาก จนเป็นเงื่อนไขหลักสำหรับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ทั้งที่ถูกบรรจุเป็นหลักเกณฑ์ในการขอสินเชื่อของธนาคาร พัฒนาเป็นหลักการลงทุนที่รับผิดชอบของผู้ลงทุนสถาบัน เป็นปัจจัยใหม่ในการตัดสินใจจับจ่ายของลูกค้า และกลายมาเป็นข้อพิจารณาในการสมัครเข้าทำงานของบุคลากร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ฯลฯ
ในปีนี้ สถาบันไทยพัฒน์ ได้ประมวลแนวโน้มการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจไทย ไว้เป็น 3 ธีมสำคัญ ได้แก่ LEAN รับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย CLEAN เพื่อสังคมที่มีสุขภาวะ และ GREEN ที่มากกว่าคำมั่นสัญญา พร้อมกับการประเมินทิศทางความยั่งยืน ปี 2566 ใน 6 ทิศทางสำคัญ ประกอบด้วย
1. ESG as an Enabler
From ‘Risk Management’ to ‘Opportunity Identification’
ธุรกิจที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้แก่กิจการ จะนำเรื่อง ESG มาใช้เป็นโจทย์ทางธุรกิจ เพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อตลาดตามทิศทางและกระแสโลกที่คำนึงถึงการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็นความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่ปิดกั้น (Diversity, Equity, and Inclusion: DEI) บนพื้นฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
2. Industry-specific Taxonomy
From ‘ESG in General’ to ‘ESG in Sectoral’
หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย จะริเริ่มจัดทำแนวทาง (Guideline) และการแบ่งหมวดหมู่ (Taxonomy) ประเด็นด้าน ESG จำเพาะรายอุตสาหกรรมที่ตนเองกำกับดูแล ทั้งในภาคธนาคาร ภาคตลาดทุน ภาคประกันภัย ภาคพลังงาน ภาคโทรคมนาคม ฯลฯ ตามความพร้อมของหน่วยงาน และแรงผลักดันจากตลาดที่มีความต้องการนำเรื่อง ESG มาขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมนั้น ๆ
3. Double Materiality
From ‘Outside-in’ to ‘Inside-out’ Approach
กิจการที่ต้องการภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ต้องแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความคาดหวังของผู้ลงทุนที่มีต่อการสร้างคุณค่ากิจการ ด้วยสารัตถภาพเชิงการเงิน (Financial Materiality) รวมทั้งความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียที่มีต่อการสร้างผลบวกทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยสารัตถภาพเชิงผลกระทบ (Impact Materiality) ควบคู่กัน
4. Climate Action
From ‘Voluntary Practices’ to ‘Mandatory Requirements’
จำนวนของบริษัทไทยที่ทำการประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality และเป้าหมาย Net Zero จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น สอดรับกับความเคลื่อนไหวในเรื่องการออกกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานจากภาคสมัครใจมาสู่ภาคบังคับ รวมทั้งการส่งเสริมกลไกทางตลาดในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในรูปของการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
5. Lean Operation
From ‘Doing more with best’ to ‘Doing more with less’
ธุรกิจที่เดิมยึดหลัก “Doing more with best” ด้วยการแสวงหาความเป็นเลิศในทุกด้าน จะหันมาเตรียมรับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นสูงในปีนี้ พร้อมกับประเมินความเสี่ยงต่อการถูกดิสรัปชันจากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการกระชับต้นทุนและขนาดของกิจการ สู่การเป็น Lean Operation ภายใต้หลัก “Doing more with less” ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรอีกทางหนึ่ง
6. Proof of Governance
From ‘Responsibility at the Workplace’ to ‘Accountability at the Board Level’
ธุรกิจที่ประกาศแนวทางการดำเนินงานโดยยึดกรอบ ESG นอกจากการแสดงความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมแล้ว ยังต้องมีการพิสูจน์ธรรมาภิบาล (Proof of Governance) ด้วยการแสดงให้เห็นถึงภาระรับผิดชอบในระดับคณะกรรมการ ที่เหนือกว่าความรับผิดชอบในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ตามบทบาทฐานะของผู้นำหรือผู้รับผิดชอบสูงสุดขององค์กร
หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจที่สนใจข้อมูลแต่ละทิศทางในรายละเอียด สามารถดาวน์โหลดรายงาน “6 ทิศทาง CSR ปี 2566: LEAN • CLEAN • GREEN” ฉบับเต็ม ได้ที่เว็บไซต์ thaipat.org ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป