ทำไม พนักงานที่ขี้เกียจ หรือ ทำงานสบายๆ ยังมีงานทำในวันนี้ !?

ทำไม พนักงานที่ขี้เกียจ หรือ ทำงานสบายๆ ยังมีงานทำในวันนี้ !?

บรรดาผู้นำ และ ผู้จัดการส่วนมาก ยังมีจุดอ่อน คือ กลัวลูกน้องไม่รัก กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด พอถึงเวลาที่ควรบริหารจัดการอย่างจริงจัง ท่านเองก็กลับไปเป็นคนเดิม !

Part.1.ในสภาวะเศรษฐกิจ-การเมือง และกำลังซื้อถดถอยอย่างต่อเนื่องปัจจุบัน !?

ถ้าถามผู้ประกอบการ ตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ในวันนี้ ต่างก็เคร่งเครียดกับสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเมืองที่มี “นายกหญิงคนใหม่” ที่ดูแล้ว..ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ได้นานหรือไม่!? และยังมาโดนการโหมกระหน่ำของทุนจีนที่พร้อมทั้ง เงิน เทคโนโลยี และ กลยุทธ์เข้ามา กระแทกจนกระทบไปแทบทุกอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ประกอบการต่างก็หาวิธีดิ้นรน ปรับตัวกันสุดกำลังในวันนี้

Part.2.สิ่งที่น่าทึ่งคือ พนักงานบางส่วน ยังคงมุ่งมั่นในการทำงานสบายๆ หรือขี้เกียจ!?

ไม่ได้พูดถึงคนทำงานภาครัฐ หลายๆที่ ที่ส่วนมากยังคงทำงานแบบ "สบายๆ" ไม่ว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นยังไงก็ตาม ยังมีความสามารถ เช้าชาม เย็นชาม”มาได้เป็นร้อยๆปีจนถึงปัจจุบัน

แต่กำลังพูดถึงพนักงานในภาคเอกชน ที่กินเงินเดือนทุกระดับและไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ ในทุกอุตสาหกรรม (ที่ไม่รู้ว่า เป็นเพราะ กรรมเก่า ที่ยังไม่หมดหรือเปล่า?) ทำให้พนักงานบางส่วน ซึ่งบางที่มีมากซะด้วย ยังคงทำงานแบบ เหมือนไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาว บางคนยังทำงานสบายๆ เหมือนที่เคยเป็นมานาน บางคนที่ขี้เกียจ ก็มีความสามารถในการรักษา ระดับความขี้เกียจ ได้อย่างน่าทึ่ง!

ยังไม่รวมถึง ทำงานไป เล่นมือถือไป รอเวลาเลิกงาน แถมยังขาด ลา มาสายเป็นเรื่องปกติ

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้คือ นักศึกษาที่เป็นคนจีน ที่เข้ามาเรียนระดับมหาลัยจำนวนมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีจำนวนไม่น้อยที่ในระหว่างเรียน ก็หาช่องทางทำมาหากินควบคู่กันไปด้วย

เมื่อเรียนจบ มีบางส่วนกลับไปประเทศจีนทำมาหากิน แต่ทำได้ไม่นานก็กลับมาประเทศไทยเพื่อทำมาหากินในประเทศไทย เพราะไม่สามารถสู้และแข่งขันที่ประเทศจีนได้ ทั้งที่เป็นคนจีนเหมือนกัน และนักศึกษาเหล่านี้ก็สารภาพหน้าตาเฉยว่า ช่วงอยู่ที่ไทย ติดนิสัยสบายๆ เรื่อยๆ พอกลับไปที่จีน เจอความอึด ถึก ลุย ทำงานหนัก ก็สู้ไม่ได้ สุดท้ายเลยคิดว่า กลับมาหากินที่เมืองไทยยังไงก็รอด เพราะขยันกว่าคนไทย!

Part.3. แล้วทำไม พนักงานที่ขี้เกียจ หรือ ทำงานสบายๆ ยังมีงานทำในวันนี้ !?

ในบ้านเรา ค่านิยม สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมมานาน เพราะในอดีตที่ผ่านมา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว การแข่งขันที่ไม่รุนแรง การใช้ชีวิตแบบสบายๆ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ซึ่งจะว่าไปเป็นเรื่องที่โชคดีของบ้านเราที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่ค่อนข้าง อุดมสมบูรณ์ (สิงค์โปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ญี่ปุ่นกับเกาหลี พื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่าไทยมาก เป็นต้น การดิ้นรนของคน จึงแตกต่างกัน!)

สิ่งเหล่านี้ ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาในวัฒนธรรมองค์กร "แบบไทยๆ" จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ พนักงานที่ขยันบางคน ถูกมองเป็นเรื่องแปลกและน่าหมั่นไส้!

ที่สำคัญก็คือ ผู้นำของธุรกิจแบบไทยๆ ลงมาถึงระดับผู้จัดการ ถึงแม้ตนเองจะขยันทุ่มเท แต่ก็มักจะ ใจอ่อน (มีเมตตา กับ ความใจอ่อน ไม่เหมือนกัน) ปล่อยปละละเลย ให้พนักงานบางส่วน ทำงานสบายๆ หรือ ขี้เกียจ ยังคงรับเงินเดือน หรือมีรายได้เท่ากับหรือมากกว่า พนักงานที่ขยัน ทุ่มเท!

แล้วจะโทษใครดีล่ะครับ!?

Part.4. โลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน แต่พนักงานบางส่วน ไม่เคยเปลี่ยนและปรับตัว!

แต่เมื่อเข้าสู่โลกธุรกิจ โดยเฉพาะโลกธุรกิจในวันนี้ ที่สารพัดเทคโนโลยี สารพัดทุนจีน มาเปลี่ยนเกมส์ ทำให้ยากมากที่จะทำงานแบบสบายๆ และ ขี้เกียจ ธุรกิจนั้นจะรอดได้

ต่อให้เจ้าของกิจการ และบรรดาผู้จัดการ จะพยายามปรับตัว ขยัน ทุ่มเทมากขึ้น จากที่ขัน ทุ่มเทอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่สามารถ ปรับเปลี่ยน พนักงานที่ยังคงทำงานแบบ สบายๆ หรือ ขี้เกียจ ให้ดีขึ้นได้ แล้วจะรอดมั๊ย!?

Part.5. จะปลุก จะปรับ พนักงานเหล่านี้อย่างไร!?

พนักงานที่ ทุ่มเท ขยันอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นห่วง แต่น่าเสียดาย ที่มีเป็นส่วนน้อยของทุกที่

ส่วนพนักงานที่ ยังคงทำงานแบบสบายๆ หรือ ขี้เกียจ ก็ยังคงไม่รู้ร้อน รู้หนาว ไม่สะทกสะท้านกับทุกการเปลี่ยนแปลง ที่ยังคงมีจำนวนไม่น้อย

ในฐานะที่ท่านเป็น ผู้นำองค์กร หรือ ผู้จัดการของหน่วยงาน ท่านไม่สามารถ วางเฉย ปล่อยปละ ละเลย เหมือนที่ผ่านมาได้อีกต่อไป

ท่านต้อง สื่อสาร อย่างชัดเจน ให้พนักงานส่วนนี้ เข้าใจถึง สภาวะปัจจุบัน ที่ทุกคน จะไม่สามารถ ทำงานแบบ สบายๆ และ ขี้เกียจ ได้อีกต่อไป

ท่านต้องกำหนด ตัวชี้วัดและระยะเวลาที่ชัดเจน พร้อมทั้ง แนะนำแนวทางที่ควรปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าสามารถ Coaching ได้ก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยปรับทั้ง ทัศนคติ พฤติกรรม และวิธีการทำงาน ได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าคนไหน มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ท่านก็ควรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าปล่อยปละ ละเลย ไม่นาน พนักงานที่มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง ก็จะกลับไป สบายๆ หรือ ขี้เกียจเหมือนเดิม ด้วยความเคยชิน

ส่วนคนที่ ไม่ปรับ ไม่เปลี่ยน ยังคงทำงานสบายๆ เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน ขี้เกียจเหมือนเดิม ท่านต้องส่งพนักงานแบบนั้นออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงภายนอก อย่าปล่อยไว้ในหน่วยงานและองค์กร!

(พูดง่ายๆคือ ปลดออกไปซะ!)

Part.6. ที่สำคัญก็คือ ต้องห้ามใจอ่อน กับพนักงานประเภทนี้!

เพราะบรรดาผู้นำ และ ผู้จัดการส่วนมาก ยังมีจุดอ่อน คือ กลัวลูกน้องไม่รัก กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด

พอถึงเวลาที่ควรบริหารจัดการอย่างจริงจัง ท่านเองก็กลับไปเป็นคนเดิม เพิ่มเติมคือ บ่นกับตัวเอง บ่นกับคนโน้นคนนี้ เรื่องพนักงานที่ไม่ยอมปรับตัว ที่ยังทำงานสบายๆ และขี้เกียจเหมือนเดิม

คำถามสุดท้ายคือ….. จะโทษใครดีล่ะ ที่ปล่อยปละ ละเลยมาจนถึงทุกวันนี้!