ปั้นเงินเกษียณเพิ่มจากประกันสังคมด้วยประกันบำนาญ

ปั้นเงินเกษียณเพิ่มจากประกันสังคมด้วยประกันบำนาญ

เงินบำนาญจากประกันสังคมเป็นเพียงการออมภาคบังคับซึ่งอาจไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตที่จะสูงขึ้น

หลังจากปีนี้ที่คณะกรรมการประกันสังคมเห็นชอบหลักการปรับสูตรบำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 แบบใหม่ชื่อว่า CARE หรือ Career-Average Revalued Earnings โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป

โดย CARE ออกมาเพื่อให้จ่ายเงินบำนาญชราภาพแก่ผู้ประกันตนมากขึ้นรวมถึงการขยายเพดานค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบ แม้จะส่งผลให้เงินบำนาญของผู้ประกันตนมากขึ้น แต่ยังอาจไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพหลังเกษียณและเรายังจำเป็นต้องวางแผนออมเพิ่มเติมเพื่อให้กระแสเงินสดเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายหลังเกษียณมากขึ้น

การปรับสูตรบำนาญ CARE มี 2 ประเด็นหลักที่ถูกปรับปรุง คือ การเปลี่ยนค่าเฉลี่ยฐานเงินเดือนที่ใช้คำนวณเงินบำนาญและการปรับค่าเงินให้สอดคล้องกับมูลค่าปัจจุบัน โดยแบบเดิมจะใช้ฐานเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ขณะที่แบบใหม่จะใช้ค่าเฉลี่ยค่าจ้างตลอดอายุการทำงาน

ดังนั้น ผู้ที่ออกจากการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นมาตรา 39 ช่วงปีท้ายๆ ก่อนอายุ 55 ปีจะได้ประโยชน์มากขึ้นเพราะฐานเงินเดือนจากสูตรคำนวณใหม่จะคำนวณตลอดช่วงเวลาที่เป็นผู้ประกันตนทั้ง 2 มาตรา ขณะที่แบบเดิมการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ฐานเงินเดือนสูงสุดเพียง 4,800 บาท จะทำให้ได้รับเงินบำนาญน้อยกว่ามาตรา 33 อย่างมาก แต่สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่คงสถานะต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี ที่ฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นจนเต็มเพดานที่ 15,000 บาทจะไม่ได้ประโยชน์จากสูตรใหม่มากนัก

อย่างไรก็ดี ผู้ประกันตนกลุ่มนี้ก็ยังมีโอกาสได้ประโยชน์จากการปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้คำนวณเงินสมทบ จากเดิมที่อัตราค่าจ้างต่อเดือน 15,000 บาทคือเพดานสูงสุด จะเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดที่ปี 2569-2571 เท่ากับ 17,500 บาท, ปี 2572-2574 เป็น 20,000 บาท และปี 2575 เป็นต้นไปที่ 23,000 บาท แม้ว่าผู้ประกันตนที่ได้รับค่าจ้างเทียบเท่าหรือสูงกว่าเพดานค่าจ้างจะต้องจ่ายเงินสบทบมากขึ้นแต่ก็จะได้สิทธิรับบำนาญชราภาพสูงขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณามูลค่าของเงินกองทุนบำนาญชราภาพที่มีการปรับปรุงแล้ว ก็อาจใช้เป็นเงินทุนเพื่อการเกษียณได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นในปัจจุบันการพึ่งพาเงินบำนาญจากประกันสังคมแหล่งเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการเกษียณ เช่น ถ้าผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่งเงินสมทบมาแล้ว 35 ปีและได้รับการปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบตามมติล่าสุดของคณะกรรมการประสังคมสูงสุดที่ 23,000 บาทจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเดือนละ 11,500 บาท ซึ่งจะเทียบเท่ากับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของปี 2568 เท่านั้น อีกทั้งยังได้รับในอัตราคงที่ ขณะที่ ค่าครองชีพช่วงหลังเกษียณยังสามารถปรับสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นหากต้องการเพิ่มกระแสเงินสดหลังเกษียณเพิ่มเติมอาจต้องออมด้วยตนเองจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), ประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น

แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวางแผนเกษียณซึ่งบางครั้งอาจไม่มีประสบการณ์ด้านการลงทุนอาจใช้ประกันชีวิตประเภทบำนาญเป็นแกนหลักในการวางแผนเกษียณก่อน เนื่องจากสามารถวางแผนจำนวนเงินบำนาญที่ต้องการได้รับหลังเกษียณได้ง่ายกว่าการลงทุนเนื่องจากประกันชีวิตแบบบำนาญเพราะประกันชีวิตระบุระยะเวลาคุ้มครองและจำนวนเงินคืนในแต่ละปีไว้ในกรมธรรม์ซึ่งแน่นอนกว่าการลงทุนที่ผลตอบแทนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจ

โดยปัจจุบันประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยได้หลายรูปแบบตามสถานะการเงินของผู้ที่อยากวางแผนเกษียณในช่วงเวลานั้นๆ และขึ้นอยู่กับการเสนอขายของบริษัทรับประกัน ไปตั้งแต่การชำระเบี้ยประกันแบบ 1 ปี จ่ายครั้งเดียวจบหรือทยอยจ่ายจำนวนงวดเพิ่มขึ้นจนถึงอายุ 60 ปี หลังจากนั้นจะได้รับเงินคืนในแต่ละปีเหมือนเงินบำนาญตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ซึ่งได้รับไปเรื่อยๆ หากยังมีชีวิตสูงสุดประมาณอายุ 80-99 ปีขึ้นอยู่กับแบบประกัน

อีกทั้งประกันชีวิตแบบบำนาญยังมีชนิดที่ให้เงินปันผลจึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นต่างจากแบบประกันบำนาญทั่วไปซึ่งจะช่วยเสริมกระแสเงินสดเพื่อการเกษียณโดยที่ไม่ต้องออมเพิ่มเติม และยังมีความคุ้มครองชีวิตคล้ายกับประกันสังคมที่มีความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต แต่เป็นในรูปของการคืนเงินตามมูลค่ากรมธรรม์ที่ยังคงเหลือให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีมรดกด้วย

จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของกองทุนชราภาพประกันสังคมทำให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกันตนที่มีการเปลี่ยนแปลงจากกลุ่มมาตรา 33 ไปมาตรา 39 ในช่วงอายุก่อนวัยเกษียณให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกันตนกลุ่มนี้มากขึ้น แต่เงินบำนาญจากประกันสังคมเป็นเพียงการออมภาคบังคับซึ่งอาจไม่เพียงพอกับการใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิตที่จะสูงขึ้น ดังนั้นการทำประกันบำนาญจึงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ผู้ประกันตนทุกช่วงวัยสามารถใช้ในการวางแผนเกษียณ ซึ่งตอบโจทย์ที่สุดในการสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนเพื่อมาคุ้มครองค่าใช้จ่ายหลังเกษียณแถมยังได้ความคุ้มครองชีวิตและได้สิทธิลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกับการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมอีกด้วย

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ prtisco@tisco.co.th I บทความโดย ศิวกร ทองหล่อ CFP®อ Wealth Manager