เปิดฉากประชุมผู้นำเอเปค จับตาทรัมป์เอฟเฟกต์ถึงไทย

เปิดฉากประชุมผู้นำเอเปค จับตาทรัมป์เอฟเฟกต์ถึงไทย

ศุกร์ 15 พ.ย. วันเพ็ญเดือนสิบสอง ในค่ำคืนที่คนไทยกำลังสนุกสนานกับการลอยกระทง ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของโลกที่กรุงลิมา ประเทศเปรู การประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) กำลังจะเริ่มต้นขึ้น  

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ของไทยเข้าร่วมประชุมด้วย หากสังเกตโซเชียลมีเดียของเหล่าผู้นำโลกจะพบความตื่นเต้นมากน้อยแตกต่างกันไป 

ที่เป็นประเด็นล่วงหน้ามาก่อนคือแว่วมาว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนจะพบกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน นอกรอบการประชุมเอเปคในวันเสาร์ (16 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น นี่จะเป็นการเจอกันครั้งแรกนับตั้งแต่สองผู้นำคุยโทรศัพท์กันเมื่อเดือน เม.ย. และน่าจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย เพราะประธานาธิบดีไบเดน กำลังจะพ้นตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า ส่งไม้ต่อให้โดนัลด์ ทรัมป์ บริหารประเทศต่อไป 

 เอเปคก่อตั้งขึ้นในปี 1989 ด้วยเป้าหมายเปิดเสรีการค้าระดับภูมิภาค สมาชิกประกอบด้วย 21 เขตเศรษฐกิจคิดเป็นราว 60% ของจีดีพีโลก และกว่า 40% ของการค้าโลก การประชุมผู้นำมุ่งเน้นไปที่การค้าการลงทุนเพื่อการเติบโตและนวัตกรรมเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสมาชิกถ้วนหน้า แต่ว่ากันว่าการประชุมปีนี้อาจจะโฟกัสที่คนๆ เดียวและไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เขาผู้นั้นคือทรัมป์ อดีตและว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ 

ด้วยวาระ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์นี่เองที่ทำให้โลกหวาดหวั่น ตั้งแต่ท่าทีกีดกันทางการค้าไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กำลังจับตาเรื่องการย้ายฐานการผลิตจากจีนและการลงทุนที่อาจย้ายกลับไปในสหรัฐ "การเคลื่อนย้ายฐานการลงทุนของจีนมายังภูมิภาคนี้ ทำให้ต้องถูกสหรัฐจับตามองเป็นพิเศษ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้การส่งออกสินค้าแบรนด์ไทยถูกเหมาโหล รวมกับแบรนด์จีนที่เข้ามา”

ในโอกาสที่นายกฯ แพทองธาร ได้เข้าร่วมประชุมผู้นำเอเปค ถือเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ดีที่จะได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำโลกคนอื่นๆ เชื่อว่าทุกคนต่างวิตกกังวลกับความไม่แน่นอนผลพวงจากทรัมป์เอฟเฟกต์เหมือนๆ กัน การส่งออกเป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจของไทยมาเนิ่นนาน เมื่อถึงยุคกีดกันทางการค้าไทยต้องมีทางหนีทีไล่ ส่วนการท่องเที่ยวก็ต้องยกระดับโดยมีซอฟต์พาวเวอร์เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ไทยจะรอดไม่รอดกับเอฟเฟกต์ใหญ่ครั้งนี้ ประชาชนกำลังรอดูผลงานของรัฐบาล