‘ศก.ไทย’ไหวระดับไหน รับมือ 'ทรัมป์ 2.0'

ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มส่งสัญญาณเตือนวงการธุรกิจไทย เมื่อ “สภาหอการค้าไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งทีมพิเศษ ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งภาครัฐและเอกชน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อวางแผนรับมือนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
ภายใต้การนำของ ‘ทรัมป์’ ก่อนวันที่ 2 เม.ย.นี้ ข้อเรียกร้องสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อม เพื่อรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ความกังวลหลักมาจากการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะนำนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลกรวมถึงไทยมาใช้อีกครั้ง หอการค้าไทยประเมินว่า อาจสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทยระดับมากกว่าแสนล้าน และจะทุบจีดีพีไทยร่วง
หนึ่งในข้อเสนอจากหอการค้าไทยที่น่าสนใจ คือ สนับสนุนให้ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพื่อลดแรงกดดัน แนวคิดนี้อาจเป็นการเจรจาต่อรองเชิงรุกที่ชาญฉลาด เนื่องจากหนึ่งในประเด็นหลักของนโยบายทรัมป์ คือ ลดขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้า การแสดงความเต็มใจที่จะเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาจช่วยบรรเทาแรงกดดัน และสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อาจกระทบเกษตรกรไทย รัฐบาลจึงต้องรอบคอบว่า จะสร้างสมดุลระหว่างการตอบสนองต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ กับการปกป้องผลประโยชน์เกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศอย่างไร
ที่สำคัญไทยควรใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การส่งออก เพื่อลดพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง การกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ส่งเสริมการค้าภายในกลุ่มอาเซียนให้แข็งแกร่ง จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าที่ประเทศมหาอำนาจกำลังห้ำหั่นกันดุเดือด การตั้งทีมพิเศษตามข้อเสนอของหอการค้าไทย ก็เป็นชุดความคิดที่ดี แต่เรามองว่าไหนๆ ก็จะตั้งขึ้นแล้ว ทีมนี้ควรมองให้กว้างกว่าการรับมือทรัมป์เพียงอย่างเดียว หากต้องมองไปถึงการวางยุทธศาสตร์การค้าระยะยาวของไทย ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ การมีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะจะช่วยให้การตัดสินใจ นำนโยบายไปปฏิบัติได้เร็วและมีประสิทธิภาพ
ท้ายที่สุด เราต้องควานหาโอกาสท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้ให้ได้ แรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาทุกด้าน คือ แรงผลักดันให้ไทยอยู่เฉยหรืออยู่อย่างประมาทไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถแข่งขัน ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ ปรับปรุงประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน ความท้าทายจากนโยบายการค้าของทรัมป์ ควรถูกมองเป็นสัญญาณเตือนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความยืดหยุ่น และความสามารถปรับตัวของเศรษฐกิจไทยระยะยาว เพื่อให้ยืนหยัดได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก