"คุณสู้ เราช่วย" คุณสู้ เรา(ยังไม่พร้อมจะ) ช่วย

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ประชุม และมีมติเห็นชอบโครงการการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อสังคมไทยมาก
รัฐบาลได้ตั้งชื่อโครงการนี้ให้จำง่ายว่า "คุณสู้ เราช่วย" หมายความว่าถ้ารัฐให้โอกาสแก่คุณ(ชาวบ้าน) และคุณพร้อมจะสู้ เรา(รัฐ)ก็พร้อมจะช่วยด้วยเช่นกัน
การประชุมครั้งนั้นเป็นการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อที่จะกำหนดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่นๆของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งได้กำหนดแนวทางในการที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนนี้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนไปพร้อมกัน
ที่ประชุมได้กำหนดออกมาเป็น 3 มาตรการ และ 1 แนวทาง ดังนี้
1.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เพื่อช่วยลูกค้าธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหาชำระหนี้แต่ยังมีโอกาสพื้นตัว โดยกำหนดเป็นมาตรการชั่วคราวเฉพาะกลุ่มที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด
2. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (non-banks) ที่มีหนี้สินดอกเบี้ยสูง โดยการลดวงเงินงวดการผ่อนชำระ การลดดอกเบี้ย หรือการปิดปัญชีสำหรับหนี้เสีย เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอยู่ทุกเดือน แต่มีแนวโน้มที่จะไปต่อไม่ได้
3. มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเชิงพาณิชย์ เช่น กลุ่มเกษตรกร หาบเร่แผงลอย ผ่านทางสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือ Specialised Financial Institutions (SFI) โดยจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ได้รับความช่วยเหลือสร้างวินัยทางการเงิน เพื่อขจัดปัญหาให้หมดสิ้นไป อย่างถาวรในคราวเดียว
ส่วนแนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนนั้น เป็นการยกระดับข้อมูลของบริษัทเครดิตแห่งชาติ โดยจะปรับปรุงฐานข้อมูลให้ครอบคลุมในประเด็นต่างๆ ที่จำเป็น
เพื่อใช้ในการประเมินมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมตรงจุดได้อย่างทันท่วงที และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับรายได้ ตลอดจนการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เช่น การส่งเสริมทักษะแรงงาน
แนวทางดังกล่าวข้างต้นเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและถาวร แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะสัมฤทธิ์ผล จึงจะไม่ทันการต่อการช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนอย่างมากในปัจจุบัน รัฐจึงควรต้องเร่งที่ 3 มาตรการดังกล่าวนั้นเป็นลำดับแรก
รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายของกลุ่มที่รัฐจะเข้าไปช่วยไว้ดังนี้ คือ ลูกหนี้ 1.9 ล้านราย จำนวน 2.2 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดเงิน 8.9 แสนล้านบาท
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเรื่องนี้แยกเป็นสองครั้ง คือ ครั้งแรกเห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการที่ 1 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 และครั้งที่สองเห็นชอบให้ดำเนินการมาตรการที่ 2 ในอีกสองเดือนถัดมา คือ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568
รัฐบาลได้จัดให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนระยะแรกได้ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ทว่าเนื่องจากการลงทะเบียนยังไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 12 มีนาคม 2568 มีลูกหนี้ผู้แสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการและอยู่ระหว่างตรวจสอบสิทธิ์เพียง 1.05 ล้านราย จำนวน 1.3 ล้านบัญชี ซึ่งยังได้ไม่ตามเป้า ได้เพียงแค่ประมาณครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 55 และ ร้อยละ 59 ของเป้าหมายตามลำดับเท่านั้น
อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ในแบบฟอร์มที่ให้ประชาชนกรอกเพื่อยื่นคำร้องลงทะเบียนนั้น ยังไม่มีการให้ระบุยอดเงิน ทำให้ไม่สามารถสรุปยอดเงินที่จำเป็นต้องใช้จริงได้
โดยสรุป คือ เวลาผ่านไปตั้งแต่การประชุมลงมติครั้งแรกเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2567 จนมาถึงกลางเดือนมีนาคม 2568 นับรวมได้ 4 เดือนเศษแล้ว การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนยังเกิดขึ้นอย่างเป็นไปตามลำดับความเร่งด่วนและเป็นรูปธรรมตามที่ตั้งใจไว้ ไม่ได้
สำหรับคนที่เป็นผู้กำหนดกติกาและผู้ดำเนินการให้บรรลุผล เช่น คณะรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่รัฐ คงไม่เดือดร้อนนักกับความล่าช้านี้ แต่ความเดือดร้อนนั้นไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ดอกเบี้ยยังวิ่งต่อไปทุกวันเป็นปกติเช่นเคย ความร้อนรุ่มที่เกิดจากความคาดหวังที่ยังไม่เป็นจริง ทำให้ความเครียดกลับมากขึ้นกว่าเดิม
ผมไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเงินการคลัง ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมต้องรอจนได้ข้อมูลครบสมบูรณ์ก่อน จึงจะเริ่มดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้เดือดร้อนและยากไร้นี้ได้
มันไม่ใช่การขึ้นเครื่องบินหรือการดูหนังในโรงภาพยนตร์ ที่ทุกคนแม้จะเช็คอินขึ้นเครื่องก่อน หรือเดินเข้าโรงหนังก่อน ที่ก็ยังต้องรอเพื่อที่จะออกเดินทางหรือดูหนังเริ่มฉายไปพร้อมกัน
แต่สถานการณ์ครั้งนี้เปรียบเสมือนคนไข้ไปโรงพยาบาล ที่ใครมาลงคิวก่อนก็จะได้พบแพทย์ก่อน ไม่จำเป็นต้องรอให้ทุกคนจองคิวจนครบทกคน แล้วแต่ละคนจึงจะเข้าพบแพทย์ได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าพบแพทย์พร้อมกันทีเดียวทุกคน
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นเลยที่รัฐจะต้องมีข้อมูลครบเสียก่อนจึงจะเริ่มดำเนินการดับทุกข์ของประชาชนได้
Better Late Than Never หรือ มาช้าดีกว่าไม่มา เอามาใช้กับความทุกข์ยากที่เร่งด่วนของประชาชนแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นวิธีคิดที่ถูกต้องนัก เพราะดอกเบี้ยและความทุกข์ไม่รู้จักคำว่า “วันหยุด”
ผมจึงอยากขอเป็นตัวแทนของชาวบ้านผู้เดือดร้อน ขอให้รัฐเร่งทำโครงการนี้ให้ลุล่วงโดยเร็ว ไม่ให้โครงการดีๆน่าชมเชยนี้กลายเป็น "คุณสู้ แต่เรา(ยังไม่พร้อมจะ)ช่วย" ครับ