การตกต่ำดำดิ่งของเศรษฐกิจไทย

การตกต่ำดำดิ่งของเศรษฐกิจไทย

ในช่วงที่มหาสงกรานต์ยังมีกลิ่นของความสนุกสนานอยู่นี้ ประเทศไทยของเราก็โดนสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญได้ประกาศถึงความตกต่ำของเศรษฐกิจไทยให้โลกรู้ทั่วกันถึง 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน

ประการแรก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ได้คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของปี 2568 นี้ว่าของโลกจะโต 2.8 % แต่ของไทยจะโตแค่ 1.8 % 

ประการที่สอง หนึ่งสัปดาห์ต่อมาธนาคารโลกหรือ World Bank ได้คาดการณ์แบบตอกตะปูแน่นเข้าไปอีกว่า GDP ของไทยปีนี้จะโตแค่ 1.6 % เท่านั้น ต่ำสุดในอาเซียน ยกเว้นประเทศเมียนมาประเทศเดียว แถมจะบอกต่อไปอีกว่าในปีหน้า 2569 ที่ธนาคารโลกเคยคาดว่าจะโต 2.9 % จะเหลือแค่ 1.8 % เท่านั้น

ด้วยการบริหารของท่านขี้โม้คุยโวทั้งหลายนั้น ได้ทำให้การคาดการณ์ของการเติบโตที่รัฐบาลไทยไม่อาจจะโต้เถียงได้อีกเหล่านี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้ได้ตกต่ำดำดิ่งอย่างชัดเจนแล้ว 

ประการที่สาม และแล้วเมื่อวันอังคารที่ 29 เมษายน 2568 การประจานให้โลกรู้ถึงความตกต่ำของเศรษฐกิจไทยก็เกิดขึ้น กล่าวคือมูดีส์ (Moody's) ซึ่งเป็นหน่วยงานวัดระดับหรือสถานะทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก

ที่เคยจัดเครดิตเรตติ้งให้แก่ประเทศไทยที่ระดับ Baa1 ที่เรียกว่ามีเสถียรภาพ (Stable) มาหลายปีมากแล้ว มาเป็นติดลบ (Negative) 

เหตุผลในการเปลี่ยนสถานะของอันดับเครดิตของไทยเป็นติดลบครั้งนี้ มูดี้ส์ได้สาธยายได้ละเอียดมาก โดยเฉพาะเรื่องความอ่อนแอของไทยที่ไม่สามารถก่อให้เกิดความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการคลังได้

ทำให้เกิดความเสี่ยงในการสร้างความเข้มแข็งทั้งสองด้านของประเทศที่มีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดของโควิดเป็นต้นมา

 

ผลที่จะตามมาของการลดสถานะเครดิตไทย จากมีเสถียรภาพเป็นติดลบของมูดีส์ครั้งนี้จะกระทบประเทศไทยมาก

ประการสำคัญคือทำให้หนี้ของไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนที่กู้จากต่างประเทศมีอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ตราสารหนี้ก็จะมีผลตอบแทนที่สูงขึ้น และผลที่จะตามมา คือ การลงทุนของต่างประเทศทุกด้านในประเทศไทยก็จะถดถอยลง

คงไม่ต้องสาธยายถึงปัญหาเรื้อรังของประเทศที่แต่ละรัฐบาลได้เสียเวลาโทษกันมาเรื่อยว่าใครเป็นคนทำ แต่มันเป็นเรื่องผีซ้ำด้ำพลอยของประเทศไทยบวกกับการไม่ใส่ใจบริหารประเทศของรัฐบาลมากกว่า

ปัญหาโครงสร้างใหญ่ของไทยที่แก้ยากหรือไม่ได้รับการสนใจจะแก้จากรัฐบาลแทนที่จะลดลงแต่กลับถูกทำหรือปล่อยให้เลวร้ายลงเรื่อย

นับตั้งแต่ปัญหาการทวีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรผู้สูงอายุ การมีหนี้ครัวเรือนที่สูงมากอย่างยั่งยืน การมีหนี้สาธารณะของภาครัฐที่ยังไม่เห็นทางจะทุเลาลง ตรงกันข้ามมีแต่จะทำให้เลวร้ายลงไปอีก

การมีภาวะอากาศเสียที่ยิ่งเพิ่มหนักขึ้นทุกปี การขาดธรรมาภิบาลในภาครัฐ การทุจริตคอร์รัปชันที่แพร่กระจายไปทั่วทุกองคาพยพ

และสุดท้ายคือภาวะสังคมที่เสื่อมโทรมลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปรับภาษี (Tariff) ของ Trump

แต่ในช่วงที่ข่าวทางเศรษฐกิจอันเลวร้ายออกมานี้ ผู้นำของรัฐบาลและรัฐมนตรีหลายท่านยังไม่รู้สึกรู้สา กลับเน้นย้ำเรื่องเดินหน้าการสร้างศูนย์รวมสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ที่มีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายอย่างจริงจังแทบทุกวัน มันมีอะไรกันนักหนาหรือประเทศนี้.