เลือกกองทุนอย่างไร ให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดี

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในอดีตมาก รวมทั้งนโยบายกำหนดเพดานการประกันเงินฝาก
ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในอดีตมาก รวมทั้งนโยบายกำหนดเพดานการประกันเงินฝาก ส่งผลให้ผู้ออมและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับการเลือกลงทุนในกองทุนรวมแทนการฝากเงินกับธนาคารเช่นในอดีต ทำให้ขนาดของอุตสาหกรรมกองทุนรวมขยายตัวอย่างรวดเร็วจากเมื่อสิ้นปี 2554 ที่ 2.08 ล้านล้านบาท มาเป็น 2.35 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2555 โดยนักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 62% ยังเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เพียง 7 เดือนแรกของปีนี้มูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 2.1 แสนล้านบาท มาอยู่ที่ 1.45 ล้านล้านบาท
ประเด็นที่น่าสนใจมาก คือ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า FIF เป็นที่นิยมของนักลงทุนไทยมาก ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2555 มีเม็ดเงินที่ลงทุนในกองทุน FIF ถึง 4.89 แสนล้านบาท การเพิ่มขึ้นของกองทุน FIF นั้นเกิดจากนักลงทุนไทยเองที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นปัจจุบัน และเกิดจากความพยายามของบริษัทจัดการกองทุนต่างๆ ที่สรรหากองทุนต่างประเทศหลากหลายรูปแบบเสนอเป็นทางเลือกในการลงทุนและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในประเทศ ปัจจุบันจำนวนกองทุน FIF มีมากกว่า 376 กองทุน คิดเป็น 30% ของกองทุนที่จดทะเบียนในตลาดทั้งหมดกว่า 1,340 กองทุนที่จัดตั้งโดยบริษัทจัดการกองทุน 23 แห่ง นับว่าเป็นจำนวนกองทุนที่สูงพอสมควรสำหรับนักลงทุนไทยที่ยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในต่างประเทศ วันนี้ดิฉันจึงมีหลักในการพิจารณากองทุนแบบง่ายๆ มาฝากท่านผู้อ่านค่ะ
ขั้นแรก ผู้ออมหรือนักลงทุนต้องเริ่มจากการเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองก่อน เพื่อให้สามารถเลือกประเภทกองทุนรวมได้อย่างเหมาะสม เช่น หากการลงทุนเป็นทางเลือกของการออมเงินแทนการฝากออมทรัพย์กับธนาคาร หมายความว่าระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับเงินก้อนนั้นจะอยู่ในระดับต่ำและต้องการสภาพคล่องสูง จึงสมควรเลือกลงทุนเฉพาะในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น แต่หากเป็นเงินส่วนที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้อาจลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้นหรือเป็นกองทุนแบบกำหนดระยะเวลา (Term Fund) และหากตั้งเป้าที่จะทำการลงทุนระยะยาว สามารถรับความผันผวนระยะสั้นได้ กองทุนรวมตราสารทุนอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
นอกจากนี้ นโยบายการบริหารกองทุนก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เช่น กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศ นักลงทุนควรต้องศึกษาว่ากองทุนนั้นลงทุนเป็นเงินสกุลใด เช่น ดอลลาร์ หรือยูโร และมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างไร เพราะผลตอบแทนสุดท้ายที่นักลงทุนได้รับอาจจะแตกต่างจากผลตอบแทนแท้จริงของสินทรัพย์นั้นๆ เพราะมีปัจจัยด้านค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงมาประกอบ
สำหรับนักลงทุนที่นิยมปรับพอร์ตการลงทุนเป็นระยะๆ ควรศึกษาข้อกำหนดในการซื้อขายให้ละเอียด เช่น หากท่านสั่งขายกองทุนรวมหุ้นในต่างประเทศวันนี้ ราคาขายจะเป็นราคาของตลาดหุ้นวันนี้หรือไม่ และได้รับเงินการขายกลับมาเมื่อไร เพื่อไม่ให้ท่านเสียโอกาสในการลงทุน
ขั้นตอนต่อมา ได้แก่ การเลือกบริษัทจัดการกองทุนที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนหนึ่งอาจทำการลงทุนโดยถูกชักชวนจากแผนส่งเสริมการขายของบริษัทจัดการกองทุน ไม่ว่าจะเป็นบัตรกำนัล ของแถม หรือการคืนเงินเข้าบัญชี (Cash Rebate) แม้ว่าโครงการส่งเสริมการขายเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้รับในทันที แต่นั่นอาจไม่ใช่ปัจจัยที่สามารถระบุว่า บริษัทจัดการกองทุนนั้นๆ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้เราได้ในอนาคต
อีกประเด็น คือ นักลงทุนทั่วไปยังมักให้ความสำคัญกับค่าธรรมเนียมการบริหารและผลตอบแทนย้อนหลังซึ่งเป็นภาพสะท้อนการดำเนินงานในอดีต แต่นั่นไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือสามารถบ่งชี้ผลตอบแทนที่บริษัทจัดการกองทุนจะสร้างได้ในอนาคต ในการเลือกบริษัทจัดการกองทุนนั้นนักลงทุนจึงควรศึกษาบริษัทนั้นๆ ว่า มีสไตล์การบริหารพอร์ตอย่างไร เชี่ยวชาญด้านไหน ใครเป็นผู้บริหารพอร์ต สำหรับนักลงทุนที่นิยมปรับพอร์ตตามภาวะตลาด (Tactical Tilt) ควรต้องศึกษาว่ากองทุนที่ท่านเลือกลงทุนมีมุมมองด้านเศรษฐกิจและตลาดอย่างไร เพราะหากนักลงทุนมีมุมมองว่าตลาดจะเข้าสู่ภาวะควรเสี่ยง (Risk on) ท่านเริ่มผ่อนคลายความกังวลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงคิดว่าควรเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่กองทุนที่ท่านจะเข้าไปลงทุนประเมินว่า ตลาดจะยังอยู่ในภาวะที่ควรหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk off) เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนกังวลในปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงควรถอยออกจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เมื่อเป็นเช่นนี้กองทุนอาจจัดพอร์ตการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนได้ ซึ่งท่านสามารถศึกษาข้อมูลเหล่านี้ได้จากบริษัทจัดการกองทุนเอง หรือจากสมาคมบริษัทจัดการกองทุน
ไม่เพียงแต่นักลงทุนทั่วไปที่ต้องศึกษาข้อมูลเพื่อเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่ยอมรับได้เท่านั้น กบข. ในฐานะนักลงทุนสถาบันก็มีว่าจ้างผู้จัดการกองทุนภายนอกเพื่อบริหารเงินออมส่วนหนึ่งเช่นกัน โดยได้จัดทำกระบวนการวิเคราะห์บริษัทจัดการกองทุนอย่างเป็นระบบ มีเกณฑ์พิจารณาใน 3 หัวข้อหลักด้วยกัน ได้แก่ แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจัดการกองทุน (Business Profile) ความพร้อมของบุคลากร (People) และกระบวนการตัดสินใจลงทุน (Process) ทั้ง 3 ปัจจัยถือว่าเป็นส่วนที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่ง กบข. มีความเชื่อว่าบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กรในการพัฒนาบริษัทเป็นนักลงทุนสถาบันที่มีคุณภาพ สามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กร รวมทั้งมีระบบการตัดสินใจการลงทุนที่ชัดเจนและมีวินัยในการลงทุน จะเป็นบริษัทจัดการกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวได้ค่ะ