สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน

สัมภาษณ์อย่างไรให้ได้งาน

ช่วงนี้เป็นอีกวาระหนึ่งซึ่งจะมีบัณฑิตป้ายแดงน้องใหม่ ขวักไขว่หางานเพื่อตั้งหลักปักฐานชีวิตการเป็นมืออาชีพ

 ท่านผู้อ่านที่แสวงหางานจะเริ่มตระหนักว่า หลายองค์กรไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีกระบวนการเลือกเฟ้นอลังการ เพื่อทดสอบความรู้พื้นฐานด้านต่างๆ ตลอดจนทดสอบความอึด เพราะขั้นตอนอาจซับซ้อน ยืดยาว ให้เราหาวรอ

 เมื่อผ่านด่านต่างๆ เข้าไปสู่ขั้นตอนการสัมภาษณ์ ต่างต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม มุ่งสร้างความประทับใจและความไว้เนื้อเชื่อใจในเวลาสั้นๆ ที่มี

 มืออาชีพที่ทำการสัมภาษณ์งานเรา เขาสารภาพว่า เนื้อหาส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ทักษะ ความรู้ของผู้สมัคร ดูไม่ยากจากเอกสาร

 สิ่งที่เขาอยากเห็นช่วงสัมภาษณ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีในกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ลีลา อารมณ์ ความมั่นใจ

 และในที่สุด จะสะดุดหรือไม่ กลายเป็นเรื่อง “ศรศิลป์” กินกันหรือเปล่า เราจะเข้ากับใครในองค์กรได้ไหม

 เก่งไม่กลัว กลัวกร่าง

 ฉลาดไม่กลัว กลัวไม่เฉลียว กลัวเก่งเดี่ยว กลัวทำงานกับคนอื่นไม่เป็น เพราะวันๆ เห็นแต่หน้าจอ

 รู้ข้อสอบว่าเขามองหาอะไร จัดเต็มให้เลยค่ะ

 วันนี้มาคุยกันเรื่องการสร้างบรรยากาศการสัมภาษณ์ ที่ทำให้ “ไม่จ้างไม่ได้”

 ทักษะนี้ ฝรั่งเรียกว่า การสร้าง Rapport  ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ของการผูกมิตร และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ

 เป็นทักษะที่มืออาชีพใช้ในการชนะใจใครๆ ที่เราต้องพบปะและประสานงาน  ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า  หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือ คนแปลกหน้าที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์เรา

 แนวทางพื้นฐานของการสร้าง Rapport  ระหว่างการสัมภาษณ์งาน ทำได้ไม่ยากดังนี้

 1 เสื้อผ้าหน้าผม วันสัมภาษณ์เป็นวันที่เราย่อมต้องดูดีกว่าวันธรรมดาทั่วไป

  “ดี” ในที่นี้ หมายถึงเหมาะสมกลมกลืนกับสถานที่

 แต่งกายเรียบร้อยเพื่อสื่อว่าเราตั้งใจ  เราให้ความสำคัญ  และให้เกียรติกับสถานที่ และพี่ที่จะสัมภาษณ์

 วันนี้ เลือกงามและหล่อให้พอดี งดเปรี้ยวจี๊ด หรูจัด อันอาจทำให้ผู้สัมภาษณ์เราเกิดอาการตะครั่นตะครอ ขอผ่าน งานเลยไม่เข้าฃ

 2 ยิ้ม รอยยิ้มแจ่มใสเป็นวิธีง่ายๆ ในการชนะใจคนรอบข้าง ยิ้มอย่างเป็นมิตร อบอุ่น จริงใจเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องยิ้มเรี่ยราดเกลื่อนกลาดเกินพอดี

 มีให้เลือกระหว่างคนหน้ายิ้ม กับคนหน้าบึ้งขมึงตึง โทษเขาไม่ได้ หากใจจะเอนเอียงเลี่ยงคนหน้าหงิก

 3 สบตา ความจริงใจ และมั่นใจ สื่อได้ง่าย ด้วยการสบตาอย่างเป็นมิตร

 ลองนึกถึงเวลาที่ใครพูดกับเรา แล้วเขาไม่กล้าสบตา คู่สนทนาย่อมรู้สึกตงิดๆ ติดในใจว่าไม่มั่นใจอะไรหรือ มีอะไรซ่อนไว้ใช่ไหม หรือไม่ก็นึกกลัวว่า ท่าจะเป็นกระสือ

 ฝึกสบตาใครๆ ที่เราต้องสื่อสารด้วยเพื่อผูกมิตรและสร้างความสัมพันธ์  เอาให้คุ้น ให้คล่อง จะได้มองตาคู่สนทนาได้แบบไม่ขัดเขิน

 กระนั้นก็ดี มีข้อควรระวังว่า อย่าสบตานานเกินไป อีกฝ่ายอาจอึดอัด อารมณ์เหมือนถูกยัดเยียด

 สบตาแบบที่มีประสิทธิภาพ ใช้เวลานานประมาณ 2-4 วินาที นานกว่านี้ เขาเรียกจ้องตา หาเรื่อง เคืองกันมาจากไหนจ๊ะ

 4 มองหาความคล้ายคลึง  มนุษย์ย่อมรู้สึกเป็นมิตรกับใครๆ ที่มีอะไรคล้ายๆ กับเรา
 ดังนั้น ตั้งใจฟังและช่างสังเกตว่าเขาชอบอะไร หากเรามีอะไรที่คล้ายกันสามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นสร้างความสัมพันธ์ได้ ไม่ผิดกติกา

 ไม่ว่าจะเป็น เราบ้านทางเดียวกัน รถติดเหมือนกัน  ชอบกีฬาเหมือนกัน  ผ่านมหาวิทยาลัยเดียวกัน  ชอบงานท้าทายคล้ายกัน เป็นต้น

 5 สร้างความกลมกลืน คนส่วนใหญ่มักรู้สึกสบายใจกับใครๆ ที่ไม่ต่างจากเราสุดขั้ว

 ดังนั้นหากต้องการสื่อสารให้อีกฝ่ายผ่อนคลายเป็นกันเอง ทักษะหนึ่งที่ใช้ได้ เรียกว่า Mirroring หรือ ทำตนเป็นกระจกสะท้อนตัวเขา

 หากเขาพูดเสียงอ่อนเบา  เราก็พร้อมลดระดับปรับเสียงให้ไม่โหดห้าวก้าวร้าวจนเขากลัว

 หากเขานั่งตัวตรงเป็นสง่า เราอย่าลืมตนนั่งค้อมคุดคู้มุดอยู่ในเก้าอี้ ขยับปรับท่าให้ดี ให้มีมาดมั่นใจ ไม่หงอ

 หากเขาหารือเป็นทางการ  เราก็พร้อมสื่อสารแบบมืออาชีพ ไม่กุ๊กกิ๊กคิกคัก

 หากเขาเป็นกันเอง เราก็ปรับรับมุกเป็นมิตรได้อย่างไม่ขัดเขิน และไม่เกินเลย 

 สรุปว่าใครสร้าง Rapport เก่งย่อมได้เปรียบ เพราะได้ผูกมิตร ได้สร้างความคุ้นเคยใกล้ชิด ได้ปิดความกังวลในใจเขา ว่าเราเข้ากับคนได้ไหม

 น้องใหม่สามารถลองใช้ทักษะนี้ โดยไม่ลืมผสมให้พอดีกับความเป็นตัวตนของเรา จนออกมาเป็นผู้ที่มี “ออร่า” ของมืออาชีพที่จริงใจ อบอุ่น 

 เพราะจะฉลาดเปรื่องปราดมาจากไหน  แต่หากคนส่วนใหญ่เมื่อคุยด้วยแล้วไม่สบายใจ ไม่รู้สึกเป็นมิตร เขาคงคิดหนักที่จะจ้าง

 แม้หลุดรอดไปอยู่ในโลกของมืออาชีพได้ หากไม่มีใครอยากเป็นมิตร

 เราคงต้องคิดหนักเช่นกัน