เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม?

เริ่มยุคทองหุ้นซุปเปอร์สต็อกเวียดนาม?

  วิวัฒนาการการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของผมในช่วงประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านก็คือ  ช่วงที่ 1 หรือช่วงแรก  เป็นการรีบลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นไทยไปสู่เวียดนามที่ผมเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจสดใสและกำลังกลายเป็น “ดาราดวงใหม่” ของโลก   แต่เพราะไม่รู้จักหุ้นรายตัวเลยและก็ไม่รู้ว่ามีกองทุนอิงดัชนีหรือไม่ 

 ผมจึงใช้วิธีคัดกรองหุ้นด้วยหลักการแบบ “VI” เลือกหุ้นทุกตัวที่มีค่า P/E ไม่เกิน 10 เท่า  P/B ไม่เกิน 1 เท่า ปันผลไม่ต่ำกว่าปีละ 5% และมีขนาดของหุ้นทั้งบริษัทหรือ Market Cap. ไม่ต่ำกว่าประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งทำให้ได้หุ้นมาร้อยกว่าตัวและหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดไม่เกิน 4-5 ล้านบาท  เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ส่วนใหญ่แล้วผมไม่รู้เลยว่าบริษัทชื่ออะไรและทำอะไรจนถึงวันนี้

  ต่อมาเมื่อเริ่มมีความรู้มากขึ้น  ผมก็เริ่มเลือกหุ้นเป็นรายตัวโดยอาศัยคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์  และบางส่วนก็เลือกหุ้นแนว Defensive เช่นเขื่อนและโรงไฟฟ้า  รวมถึงกิจการสาธารณูปโภคเช่น ทางด่วนและผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรมที่ผมคิดว่ามีความปลอดภัยและให้ผลตอบแทนสูงพอสมควรอานิสงค์จากการที่รัฐบาลให้ผลตอบแทนตาม ต้นทุนเงินทุนหรือ  IRR ที่สูงกว่าของไทยมาก  ขนาดของการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็มีขนาดใหญ่ขึ้นพอสมควรแต่จำนวนหุ้นที่ลงทุนก็ยังค่อนข้างมากคือน่าจะประมาณ 30 ตัว

รอบที่สามนั้น  น่าจะเรียกว่าเป็นการเริ่มลงทุนในหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ของเวียดนามที่เป็นหุ้นที่ผมชอบและลงทุนเป็นหลักในตลาดหุ้นไทยมานานเป็นสิบ ๆ  ปีแล้ว  แต่เนื่องจากหุ้นที่ผมเห็นว่าจะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในเวียตนามในอดีตหลายปีก่อนหน้านั้น  มักจะเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจและเข้าไปซื้อหุ้นจนติดเพดานการลงทุนเช่น  ถือหุ้นถึง 30% หรือ 50% ของบริษัทไปแล้ว  ทำให้ไม่มีหุ้นซื้อขายในกระดาน  ชาวต่างชาติรายใหม่ที่จะซื้อก็ต้องไปซื้อเป็นบิ๊กล็อตต่อจากคนที่ถืออยู่  และต้องจ่ายราคาที่มี  Foreign Premium บางที 3-40% จากราคาตลาดซึ่งทำให้ผม  “ไม่ยอมซื้อ”

อย่างไรก็ตาม  ในระยะหลัง  หุ้นซุปเปอร์สต็อกเหล่านั้นบางตัวก็เริ่มมีพรีเมี่ยมลดลงเหลือเพียง 7-10%  ผมจึงเริ่มลงทุนในหุ้นซุปเปอร็สต็อกมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มีนัยสำคัญจนกระทั่งมีการจัดตั้ง “กองทุนซุปเปอร์สต็อก” ในตลาดหุ้นเวียตนามขึ้นคือ “ETF ไดมอนด์” ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนท้องถิ่นของเวียดนามที่ชาวต่างชาติลงทุนได้อย่างไม่จำกัดและไม่มีพรีเมียม  ดังนั้น  ผมจึงเข้าไปลงทุนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ

 

การลงทุนรอบที่ 4 และยังต่อเนื่องถึงปัจจุบันก็คือการลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกเป็นหลักและเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว  หุ้นที่เลือกจะเป็นหุ้นที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติครบที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่จะเติบโตต่อเนื่องระยะยาว  นั่นก็คือ  อยู่ในเมกะเทรนด์  เป็นผู้ที่จะชนะและเหนือกว่าคู่แข่งมาก  มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และราคาไม่แพง  ซึ่งหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมเลือกนั้น  ก็อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเดียวกับหุ้นที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในประเทศไทยที่ผมลงทุนมานานเกือบ 20 ปี  ผมยังต้องจ่ายพรีเมียมหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7%  แต่บางตัวก็สามารถซื้อได้โดยไม่มีพรีเมียม  และเหตุผลที่ผมเลิกซื้อ ETF ไดมอนด์นั้นเป็นเพราะ หุ้นในกองทุนนั้นมีหุ้นอื่นโดยเฉพาะหุ้นแบงก์ที่ผมไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต็อกจำนวนมากรวมอยู่ด้วย

ถึงวันนี้  พอร์ตหุ้นเวียดนามของผมประกอบไปด้วยหุ้นหลัก ๆ ที่เป็นซุปเปอร์สต็อกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 6-7 ตัวรวมไดมอนด์  ทั้งหมดรวมกันน่าจะประมาณ 60% ของพอร์ต  และหุ้น Defensive ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสเติบโตระยะยาวแบบช้า ๆ  ได้  น่าจะซัก 15% รวมเป็น 75%  ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กอีกร้อยกว่าตัวนั้นน่าจะมีสัดส่วนเหลือเพียง 25%  การลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามของผมนั้น  ไม่ใช่ “ตลาดหุ้นทางเลือก” อีกต่อไป  มันเป็นตลาดหลักอีกแห่งหนึ่ง

ปีที่แล้วทั้งปี  เป็นปีที่ตลาดเวียดนามเติบโตขึ้นมากอานิสงส์ จากการเก็งกำไรของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  คนเป็นล้าน ๆ ต่างเข้ามาซื้อ-ขายหุ้น  จำนวนมากใช้มาร์จินเต็มเพดาน  พวกเขาเข้ามาซื้อ- ขายหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นหุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ และหุ้นแนวโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฎจักรรวมถึงหุ้นแบ้งค์กันอย่างหนักทำให้ดัชนีตลาดบวกเพิ่มขึ้นถึง 35%  แต่หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมถืออยู่ประมาณ 6-7 ตัว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียงประมาณ 12.5%  อย่างไรก็ตาม  พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นตัวเล็ก ๆ นับเป็นร้อยตัวมีการปรับตัวขึ้นมากจนทำให้พอร์ตเวียดนามของผมปีที่แล้วโตขึ้นถึง 75% กลายเป็นปีทองของพอร์ตหุ้นเวียดนาม

ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามก็ปรับตัวลงตาม “เทรนด์ของโลก” ที่ดูเหมือนว่ากำลังประสบปัญหาร้ายแรงหลายอย่าง   ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมาถึง 14% ไปแล้ว  อย่างไรก็ตาม  หุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ผมเลือกกลับปรับตัวขึ้นเฉลี่ยถึง 13%  อานิสงส์น่าจะมาจากการที่ผลประกอบการในไตรมาศแรกที่ผ่านมาค่อนข้างดีและภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังคงดีอยู่และน่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ  และที่ผมคิดว่าสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ราคาหุ้นที่ไม่แพง  ค่า P/E จากกำไรปกติของหุ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 21 เท่า  ในขณะที่ค่า P/E ถ้าคิดไปถึงตอนสิ้นปีน่าจะลดลงไปเหลือเพียง 16-17 เท่า เท่านั้น

ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ  ตลาดหุ้นเวียดนามนั้นอาจจะกำลังมีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกับกรณีของตลาดหุ้นไทยเมื่อสิบกว่าปีก่อน  ที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยคนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นเร็วมากที่มาพร้อมกับการบริโภคมหาศาล  ซึ่งส่งผลให้บริษัทที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกเติบโตขึ้นเท่า ๆ  กัน  ในอีกด้านหนึ่ง  ก็ก่อให้เกิดเงินออมที่พร้อมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  จากคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งและเพื่อการเกษียณ  และการลงทุนแบบอิงกับปัจจัยพื้นฐานหรือแบบ VI ก็กลายเป็นทางเลือก  ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้หุ้นแบบซุปเปอร์สต็อกเติบโตต่อเนื่องไปยาวนานแบบที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในอดีต