High Value Marketing

High Value Marketing

หลายๆครั้ง ที่ผมมีโอกาสเดินทางไปทั้งในและต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ "ค่าครองชีพ"ในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน

ดูตัวอย่างใกล้ตัวเราก็ได้ครับ อย่างค่าที่พัก ระหว่างเขาใหญ่กับตัวเมืองโคราช ราคาห่างกันหลายเท่าตัว โรงแรมแพงๆ ในเขาใหญ่ ห้องพักราคาขายคืนละเป็นหมื่น ๆ หรือสแตนดาร์ดทั่วๆ ไป ราคาจะประมาณ 4-5,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ขายได้ทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นโรงแรมในตัวเมืองโคราช จะขายได้แค่หลัก 2,000 กว่าบาทเท่านั้น นั่นคือ rate ราคาที่แพงที่สุดแล้ว ทั้งๆที่การลงทุนไม่ต่างกันมากนัก

อย่างกรณีโรงแรม เห็นได้ชัดเจนมาก ยิ่งช่วงที่พีคมากๆ แต่จำนวนห้องเท่าเดิม ทำให้ตั้งราคาขายได้สูง นั่นหมายถึง ผลต่างระหว่างต้นทุนกับราคาขายต่างกันมาก ส่งผลถึงกำไรที่จะได้ตามมาก็จะต่างกัน

ดูอย่างบัตรคอนเสิร์ตสมัยนี้สิครับ บัตรราคา 7-8,000 บาทก็ยังขายได้ ยิ่งถ้าเป็นวัยรุ่นแล้วล่ะก็ ไม่สนราคาบัตรกันเลย "ของชนิดเดียวกัน แต่ขายกันคนละที่" ราคาก็ต่างกันแล้ว บางทีก็เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม และการจัดวาง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการตั้งราคา และขายของได้เช่นกัน

ที่บริษัทของผมหยุดก่อนชาวบ้านในช่วงปีใหม่ ซึ่งทำแบบนี้มา 20 กว่าปีแล้ว เพราะงานที่เราทำต้องเจอเสาร์-อาทิตย์ เป็นประจำ คนอื่นได้หยุด แต่เราไม่ได้หยุด ก็เลยมีวันหยุดพิเศษให้พนักงานได้พักบ้าง ยกเว้นพวกที่ต้องทำงานวันเคาท์ดาวน์ ก็จะได้เงินพิเศษกันไป ส่วนผมมักจะใช้เวลาไปเที่ยวกับครอบครัว แล้วค่อยกลับทำงานต่อ อย่างปีที่ผ่านๆ มาผมได้ไปทั้งปักกิ่ง เกาหลี ฮาวาย มาเก๊า ส่วนปีนี้ผมเลือกไปมัลดีฟส์ (Maldives) เพราะเข็ดกับความหนาวของจีนกับเกาหลีมากๆ ไปแล้วไม่สนุก เพราะหนาวเกินไป ปีนี้เลยขออากาศแบบสบายๆ ดีกว่า

ในบรรดาที่ที่ผมเคยไปมาทั้งหมด ขนาดฮาวายที่เรียกว่าแพงแล้ว แต่พอมาเจอ Maldives ฮาวายนี่ราคาเด็กๆ ไปเลย อันนี้แพงของจริงครับ ลงทุนเท่าๆ กัน แต่แพงได้ใจมาก ชนิดที่ว่าอยากจะมาลงทุนทำรีสอร์ทกันเลย เพราะขนาดราคารีสอร์ทที่ไม่ใช่ Chain Inter ยังขายกันคืนละ 2-3 หมื่นบาท ดูรูปแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะแพงขนาดนั้น ส่วนพวก Chain Inter ไม่ต้องพูดถึงกันเลย เพราะคิดราคาออกมาแล้ว ต่อหัวรวมค่าเดินทางเป็นแสนๆ เลยครับ

เรียกว่าเป็น Destination ของคนมีสตางค์จริงๆ ทุกอย่างขายได้ราคาไปหมด ขนาดขายกันราคาขนาดนี้แล้ว อย่าคิดว่าจะหาที่พักกันได้ง่ายๆ นะครับ อย่างโรงแรมดังๆ นี่ก็เต็มหมดครับ ร้านอาหารดีๆ ก็ต้องจองล่วงหน้ากันทั้งหมด ไม่งั้นจะไม่มีสิทธิได้ใช้บริการ

ผมเสียดายโอกาสของเมืองหลายๆเมือง เหมือนกัน ที่ลงทุนสร้างแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วกลับขายของไม่ได้ราคา เข้าใจได้ว่าโลเคชั่นธรรมชาติ มันไม่ได้ทำราคาได้เหมือนกันทุกที่ ทางออกน่าจะอยู่ที่การใส่"ครีเอทีฟ" เข้าไปช่วย โดยไม่ใช่อาศัยแต่ธรรมชาติเพียงอย่างเดียว

ดูตัวอย่างจากประเทศที่ไม่มีอะไรเลย อย่างอาหรับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจาก Man-Made ล้วนๆ ส่วนดูไบ ก็เป็นตัวอย่างที่ดีอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เขายังสามารถขายห้องพักได้ราคา ทั้งๆ ที่ดูไบเป็นเมืองแห่งทะเลทรายล้วนๆ เช่นเดียวกัน

เขายังทำได้ ฉะนั้นการรู้จักหันมาสร้างแหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้าง High Value ให้กับเมืองนั้น นอกจากจะได้ประโยชน์ในเชิงด้านเศรษฐกิจของประเทศแล้ว เพราะมีเม็ดเงินที่เข้ามาหมุนเวียนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน การซื้อขายกัน ส่งผลให้ประชาชนมีงานทำ มีเงินใช้ นอกจากนี้ ยังเป็นการถ่ายทอดแบรนด์ไทยสู่สายตานานาชาติ รวมถึงสร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนๆ จากประเทศอื่นได้อีกด้วย

เห็นไหมครับว่า ถ้าเรารู้จักปรับสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เท่านี้ก็ถือเป็นการสร้าง "มูลค่า" ที่สูงขึ้น ด้วยการลงทุนที่พอๆ กันแล้วล่ะครับ.