โรคเสพติดดิจิทัล (Digital Addiction)
โรคใหม่ทางสังคมโรคหนึ่งที่เกิดขึ้นจากพัฒนาการของเทคโนโลยีและกระแสสังคมออนไลน์ต่างๆ คงหนีไม่พ้นโรคที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Digital Addication
หรือ โรคเสพติดดิจิทัลซึ่งถ้าท่านผู้อ่านนึกถึงโรคนี้ไม่ออก ท่านก็ลองถามตนเองนะครับว่าตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างท่านมีอาการเหล่านี้หรือไม่?
ท่านจะต้องเข้าเช็ค ตรวจสอบ หรือ รายงานตัวในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook twitter หรือ instagram ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันท่านไม่สามารถอยู่เฉยๆ หรือ นิ่งๆ ได้เกินห้านาที โดยไม่ยกโทรศัพท์หรือ Tablet ขึ้นเช็คข่าวหรือข้อมูลทางเน็ต หรือ ทุกครั้งที่มีโอกาสหรือเวลาว่างท่านจะต้องตรวจสอบอีเมล เช็คข่าวต่างๆ ผ่านเน็ต คุยกับเพื่อนฝูงผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ ฯลฯ หรือในขณะนั่งประชุมท่านจะเปิดทั้งคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานหรือเช็คอีเมลไปด้วย และในขณะเดียวกันก็คอยคุยกับเพื่อนผ่านทาง Line / Whatsapp ผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ไม่ว่าเราไปที่ใดก็แล้วแต่ ปรากฏการณ์หนึ่งที่มักจะพบเห็นจนชินตาคือคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเข้าสู่โลกดิจิทัล ไม่ว่าจะนั่งบนรถไฟฟ้า หรือ นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน เคยเห็นบางครอบครัวนั่งรับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านอาหารแล้ว ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ ต่างยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา แล้วก็กดๆ โดยไม่ได้สนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทยเท่านั้นนะครับ แต่ดูเหมือนจะเป็นกระแสที่ห้ามไม่หยุดกันทั่วโลก จากการสำรวจของ Nielsen ในปี 2011 พบว่าชาวอเมริกาใช้เวลา 81,000 ล้านชั่วโมงต่อปีในเครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ Blog ต่างๆ ในขณะเดียวกันร้อยละ 64 ของเวลาที่ใช้บนโทรศัพท์มือถือนั้นจะใช้ไปกับ apps ต่างๆ งานวิจัยของ Nielsen ยังพบอีกครับว่าคนจำนวนมากจะใช้ชีวิตกับจอดิจิทัลมากกว่าหนึ่งจอขึ้นไป อาทิเช่น นั่งดูโทรทัศน์ไป ก็เปิด Tablet หรือโทรศัพท์มือถือไปด้วย หรือ นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็คอยสนใจต่อจอโทรศัพท์มือถือไปด้วย
จริงๆ การปรับตัวให้สอดคล้องและก้าวทันตามเทคโนโลยีและกระแสสังคมที่เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่เมื่อการเสพติดต่อสื่อดิจิทัลและสภาวะออนไลน์ทั้งหลายนั้นมันมากไป ก็ส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและใช้ชีวิตของเรา มีงานวิจัยอีกที่พบว่าโดยเฉลี่ยแล้วพวกที่เสพติดต่อดิจิทัลจะนั่งทำงานได้นิ่งๆ เพียงแค่สามนาทีก่อนที่จะถูกรบกวนด้วย บรรดา Notification ต่างๆ และพบว่าการถูกรบกวนด้วยสื่อออนไลน์เหล่านี้ยังส่งผลต่อ IQ ของเรามากกว่าการเสพยาเสพติดด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันผลจากการการออนไลน์ตลอดเวลาทำให้เราขี้เบื่อมากขึ้น ความอดทนน้อยลง เพราะปัจจุบันเราไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่าไรต่อการหาคำตอบต่อคำถามหรือความอยากรู้ต่างๆ ที่เข้ามา เพราะจากทุกสถานที่และทุกเวลาที่เราสามารถเข้าไปหาคำตอบออนไลน์ได้ จะสังเกตได้จากคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มีอาการขี้เบื่อ โดยเวลาฟังเพลงต่างๆ จะไม่อดทนฟังให้จบเพลงโดยไม่เลื่อนเปลี่ยนเพลง
ผลจากการเสพติดดิจิทัลทำให้เราได้รับข้อมูลต่างๆ ตลอดเวลา และอาจจะมาเกินความจำเป็น มีงานวิจัยที่พบว่าสมองเรารับรู้ข้อมูลต่างๆ มากกว่าเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วถึงสามเท่า มีคนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตเสมือนเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามที่จะต้องและรายงานรู้ข่าวใหม่ๆ สดๆ ที่เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีไฟไหม้ รถจะติด น้ำมันจะขึ้นราคา หรือ บุคคลสำคัญเสียชีวิต อีกข้อสังเกตที่น่าสนใจคือทุกครั้งเมื่อเครื่องบินลงจอดปุ๊บ สิ่งที่แรกที่ผู้โดยสารจำนวนมากทำคือเปิดโทรศัพท์มือถือ ทำให้มีความรู้สึกว่าข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ ที่มาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากหรือมีความสำคัญถึงขั้นเป็นตาย ที่เราจะรอที่จะเปิดมือถือในอาคารผู้โดยสารไม่ได้
ปัจจุบันเริ่มมีความคิดว่าการที่เราเสพติดกับดิจิทัลมากเกินไปจนทำให้วิถีในการดำเนินชีวิต ความคิด และทัศนคติของเรา เปลี่ยนไปจากเดิม คนยุคใหม่อาจจะคิดได้เร็วขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น แต่สิ่งที่ขาดไปคือความสามารถในการคิดในเชิงลึก สมาธิในการทำงานที่นาน หรือแม้กระทั่งความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ต่างๆ
จะเริ่มพบคำต่างๆ ที่เกี่ยวกับความพยายามในการลดอาการเสพติดสื่อดิจิทัลต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Digital Diet หรือ Digital Detox หรือ แม้กระทั่ง Digital Addiction Clinics ซึ่งหลายๆ คนที่เข้าโปรแกรมข้างต้นเหล่านี้ก็หวังว่าพวกเขาจะหายจากโรคเสพติดดังกล่าว และสามารถใช้ชีวิตที่สมดุลในโลกยุคดิจิทัลนี้ได้
ท่านผู้อ่านละครับ ท่านเป็นโรค Digital Addiction กันหรือเปล่าครับ?