ความถูกต้องเหมาะสม

ความถูกต้องเหมาะสม

"ความถูกต้องเหมาะสม" ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่มีความคิดเห็นต่างกัน

โดยที่แต่ละฝ่ายไม่สามารถสรรหาเหตุผลมาอธิบายสนับสนุนความคิดของตนได้อย่างชัดเจน ซึ่งตามความเข้าใจโดยทั่วไปแล้ว "ความถูกต้องเหมาะสม" ควรจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ สิ่งใดที่มีความถูกต้องก็ย่อมจะต้องมีความเหมาะสม จนเกิดเป็นความเชื่อว่าเราไม่อาจแยกระหว่าง "ถูกต้อง" และ "เหมาะสม" ออกจากกันได้

ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง "ความถูกต้อง" และ "ความเหมาะสม" ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่คู่กันเสมอไป ได้แก่ ความหมายของคำว่า “กาลเทศะ” ที่บ่งบอกให้เห็นถึงความถูกต้องที่ต้องการพื้นที่แสดงออกในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม หากความถูกต้องใดถูกนำไปแสดงในเวลาที่ไม่สมควรแล้ว ความถูกต้องก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือเป็นที่ดูถูกดูแคลน ยิ่งกว่านั้นอาจกลายเป็นจำเลยของสังคมไปเลยก็เป็นได้

ทั้งนี้ ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น "ความถูกต้องเหมาะสม" ถูกนำมาใช้ในความหมายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายของตน หรือไม่ก็หยิบยกเฉพาะ "ความถูกต้อง" ไปใช้ในเวลาที่ไม่ต้องการเอ่ยอ้างถึง "ความเหมาะสม" เช่นเดียวกับการนำ "ความเหมาะสม" ไปใช้เพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึง "ความถูกต้อง" ในบางกรณีที่ไม่ต้องการกล่าวถึงให้เกิดเป็นประเด็นขัดแย้งกับความประสงค์ของตนหรือกลุ่ม

กรณีตัวอย่างที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากถึง "ความถูกต้องเหมาะสม" อยู่ในเวลานี้ ก็คือ กรณีการกลับเข้ารับราชการของพลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเลขาธิการ ป.ป.ส. ที่สมัครใจลาออกจากราชการมาเป็นตัวแทนสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่แสดงความประสงค์จะกลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากตรวจสอบแล้วการกลับเข้ารับราชการไม่ผิดระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนโดยให้เหตุผลในเชิงที่ว่าเพื่อให้เกิดการพัฒนาทางการเมือง จึงถือเป็น "ความถูกต้อง" เป็นไปตามข้อบัญญัติในระเบียบราชการที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายออกมาแสดงเหตุผลท้วงติงในเชิงคัดค้านว่า การประกาศตนเองว่าเป็นบุคคลของพรรคการเมืองหนึ่งอย่างชัดเจนแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นกลาง จึงไม่สมควรกลับมานั่งในตำแหน่งสำคัญที่สามารถให้คุณให้โทษที่อาจส่งผลกระทบให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกับบุคคลและพรรคการเมือง แม้เราจะยอมรับความจริงว่าแต่ละบุคคลย่อมมีความคิด ความเชื่อ มีความศรัทธาเลื่อมใสพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ก็ตาม

เช่นเดียวกับกรณีการลาออกจาก ส.ส. โดยให้เหตุผลว่าเพื่อไปทำหน้าที่ในตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ที่ตนเองมีความถนัดมากกว่า ทั้งที่เข้าดำรงตำแหน่งจากการเลือกตั้งซ่อมเมื่อไม่นานมานี้ ส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสียงบประมาณหลายล้านบาท ทั้งที่หลายฝ่ายต่างทราบดีว่าการลาออกดังกล่าวมาจากเหตุผลทางการเมืองเป็นเรื่องประโยชน์ของพรรคการเมืองไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบ้านเมือง ไม่มีบทบัญญัติให้มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นประเด็นในเรื่อง ‘ความเหมาะสม’ ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เช่นเดียวกัน กรณีที่เกิดขึ้นนี้จึงแสดงให้อย่างชัดเจนว่า ‘ความถูกต้อง’ และ ‘เหมาะสม’ ไม่ได้เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

ตรงข้ามกับกรณีการออก พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาทที่ส่งผลให้ประเทศไทยต้องมีภาระชดใช้เงินกู้ดังกล่าวไปอีกไม่ต่ำกว่า 50 ปี จนถูกพรรคฝ่ายค้านนำมาโจมตีว่าไม่มีความถูกต้อง เนื่องจากเป็นกฎหมายทางเงินที่มีจำนวนเม็ดเงินสูง จึงสมควรผ่านกระบวนการการพิจารณาเช่นเดียวกับการพิจารณางบประมาณประจำปีเพื่อให้การตรวจสอบมีความรัดกุมรอบคอบ โดยเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมควบคุมการใช้เงินได้ ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะเห็นด้วยว่า พ.ร.บ. การลงทุนดังกล่าวมีความเหมาะสมสำหรับการรองรับการเปลี่ยนแปลงของประเทศในอนาคตก็ตาม

"ความเหมาะสม" ถูกตั้งข้อสงสัยทุกครั้งเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญทางราชการที่มีผลกระทบทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายนอกฤดูกาลหรือตามฤดูกาลก็ตาม หากสื่อมวลชนหรือประชาชนตั้งข้อสงสัยถึงที่มาของบางตำแหน่งที่ไม่สามารถอธิบายถึงเหตุผลความถูกต้องได้อย่างตรงไปตรงมาแล้ว เราก็มักจะได้ยินคำว่า “เพื่อความเหมาะสม” จากปากของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ประหนึ่งเป็นสูตรสำเร็จของการตอบคำถามที่ไม่สามารถสรรหาเหตุผลมากล่าวอ้างถึง "ความถูกต้อง" อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ ประชาชนที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มากกว่าการหย่อนบัตรเลือกตั้งจึงจำใจต้องปล่อยให้วลี ‘ความเหมาะสม’ ตามความต้องการของฝ่ายการเมืองที่เข้ามาควบคุมระบบราชการ ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นสิ่งที่กล่าวอ้างนั้นอาจปราศจาก "ความเหมาะสมแท้จริง" ได้เข้ามาครอบงำ "ความถูกต้อง" จนเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะที่เป็นหนทางนำไปสู่ความเสียหายที่ตามมาอย่างมหาศาลในเวลาต่อไป

เราจึงเห็นความถูกต้องเหมาะสมที่สับสนคลุมเครือจนไม่อาจบอกได้ว่า ถูกนำไปใช้ตามความหมายที่แท้จริงหรือไม่ ...เช่นนี้แล้วกลุ่มหรือบุคคลต่างๆ จึงไม่ควรฉวยโอกาสแอบอ้างความหมายเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อหาเหตุผลสนับสนุนมาทางฝ่ายของตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่จะบ่งบอกให้เห็นว่าการกระทำใดๆ ถือเป็นความถูกต้องเหมาะสมก็คือพลังของประชาชนที่ร่วมกันออกมาให้ ‘บทเรียน’ โดยการพิพากษาตัดสินแสดงให้เห็นว่าการกระทำนั้นๆ มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง ‘ความถูกต้อง’ และ ‘ความเหมาะสม’ หรือไม่

...ทั้งนี้ เพื่อรักษาความหมายของ "ความถูกต้องเหมาะสม" โดยคงไว้ซึ่งความหมายของ "ความถูกต้อง" และ "ความเหมาะสม" ให้เป็นศาสตราวุธและความศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่คู่กันตลอดไป