จดหมายจากเมืองจีน : เมื่อ หญิงเหล็ก เจอ เสือเตี้ย

วันที่อดีตนายกฯ มาร์กาเรต แทตเชอร์ แห่งอังกฤษ เสียชีวิตด้วยวัย 87 เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมอยู่เมืองเซี่ยงไฮ้
เห็นหนังสือพิมพ์ที่นี่ส่วนใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งด้วยรูปนี้ เพราะนี่คือฉากประวัติศาสตร์ที่ตราตรึงคนจีนทั่วประเทศ
ชาวโลกต้องบันทึกว่า เมื่อ "หญิงเหล็ก" แห่งอังกฤษ มาต่อรองเรื่องจะเลื่อนการคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีน กับ "เสือเตี้ย" แห่งจีนเมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1982 นั้น ลูกเล่นใครแพรวพราวกว่า และใครคือผู้ยอมถอยก่อนกันแน่
ประวัติศาสตร์ที่จารึก โดย แทตเชอร์ เองในหนังสือบันทึกความทรงจำส่วนตัว ในหนังสือชื่อ The Downing Street Years ยอมรับว่า เมื่อต้องเผชิญกับ เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีน ผู้มีชื่อเรื่องความเด็ดเดี่ยวขณะนั้น เธอต้องยอมถอย ทั้งๆ ที่ไม่เคยยอมใครง่ายๆ มาก่อน
เธอเปิดเผยว่า ต้องแอบไปปรึกษา นายกฯ ลี กวน ยิว แห่งสิงคโปร์ ขอคำแนะนำส่วนตัวว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถพูดจาภาษาเดียวกับผู้นำจีน
แทตเชอร์ เขียนในบันทึกส่วนตัวในวันที่พบกับ เติ้ง ว่า
"เติ้ง ยืนยันแข็งขัน ฉันพยายามหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่ได้ผล..."
ตอนหนึ่งของการสนทนา เติ้ง บอก แทตเชอร์ ด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า
"คนจีนสามารถเดินเข้า (ฮ่องกง) สายๆ วันนี้ และยึดฮ่องกงได้เลย หากพวกเขาประสงค์เช่นนั้น"
นี่แหละวาทะของ "เสือเตี้ย" แห่งจีน ต่อ "หญิงเหล็ก" อังกฤษ ในภาวะที่จีนเพิ่งจะเปิดประเทศใหม่ๆ และอังกฤษยังมีอิทธิพลการเมืองระหว่างประเทศอย่างสูงยิ่ง
แต่มีหรือที่ เติ้ง จะหวาดหวั่น เพราะเขาต้องแสดงให้คนจีนทั้งประเทศเห็นว่า จีนได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่จะต้องยืนยันในจุดยืนของความเป็นอธิปไตยของตน และเมื่อหมดสัญญา 99 ปีที่อังกฤษกดดันบังคับจีนให้ต้องยกฮ่องกงให้หมดสิ้นลงในปี ค.ศ. 1997 ก็ต้องเดินตามนั้น ไม่ว่า "นางสิงห์เหล็ก" จะพยายามหาทางเจรจาต่อรองอย่างไรก็ตาม
ไฉน หญิงเหล็ก ไม่ประกาศศึกกับเสือเตี้ยให้รู้ดำรู้แดงไปเลย?
นายทิม เพลท นักเขียนมะกันที่สัมภาษณ์ผู้นำโลกมาแล้วหลายคน เขียนเล่าในบทความที่ตีพิมพ์ใน China Daily เมื่อสองสามวันก่อนว่าเขามีโอกาสถาม แทตเชอร์ วันหนึ่งในปี ค.ศ. 1993 ว่า ทำไมเธอยอมเติ้งง่ายๆ
เมื่อเธอสั่งทหารอังกฤษบุกเกาะฟอล์กแลนด์ ในการทำสงครามแย่งสิทธิกับอาร์เจนตินา อย่างองอาจกล้าหาญได้ ไฉน จึงไม่ส่งทัพเรืออังกฤษอันเกรียงไกรมายึดฮ่องกงเสียเล่า
นางสิงห์ หันมาตอบว่า
"คุณเอ๋ย เมื่อ นายกฯ แห่งสหราชอาณาจักรสั่งทหารเข้าไปทำสงคราม มันจะต้องเป็นสงครามที่เธอเชื่อว่าจะต้องเอาชนะได้ ไม่ใช่สงครามที่พ่ายแพ้แน่นอน คุณไม่รู้หรือว่าถ้าเราทำเช่นนั้น เราเสร็จจีนแน่นอน..."
ในหนังสือเล่มนั้น แทตเชอร์ บอกว่า เธอบอก เติ้ง ว่า "แน่นอน จีนสามารถจะส่งทหารเข้ามาเอาฮ่องกงกลับมาเป็นของจีนได้ และเธอก็ไม่สามารถระงับยับยั้งได้ แต่นั่นก็ย่อมหมายความถึงการล่มสลายของฮ่องกง และชาวโลกก็จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อ ฮ่องกง เปลี่ยนจากมืออังกฤษกลับไปเป็นของจีน..."
นางสิงห์ บอกว่า เมื่อ เสือเตี้ย ได้ยินเช่นนั้น ก็เหมือนจะยอมรับความจริงข้อนั้น
"เป็นครั้งแรกที่ เติ้ง ดูเหมือนว่าจะตกใจ และเขาก็เริ่มมีท่าทีที่ผ่อนปรนมากขึ้น..." แทตเชอร์ เขียนในบันทึกส่วนตัวเล่มนั้น
ท้ายที่สุด นางสิงห์ กับ เสือเตี้ย ต่างก็รู้ว่าจะต้องหาทางออกที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งคู่
นั่นคือ จีนได้ฮ่องกงกลับไป แต่อังกฤษก็ไม่เสียหน้ามากมายนัก ยังมีบทเฉพาะกาลอีก 50 ปี ให้เกาะแห่งนี้รักษาความเป็นตัวของตัวเอง ที่เรียกว่า "หนึ่งประเทศสองระบบ" ได้ถึงวันนี้
นางสิงห์ เล่าว่า เธอขอคำชี้แนะจาก ลี กวน ยิว นายกฯ สิงคโปร์ ขณะนั้น ว่า ควรจะพูดจากับผู้นำจีนอย่างไร เพราะเธอบอกว่า ลี เป็นหนึ่งในผู้นำโลก ที่มีการไปมาหาสู่กับจีน อย่างใกล้ชิดสนิทสนมยิ่ง
ลี บอก แทตเชอร์ ว่า การที่จะต่อรองและคบหากับจีนนั้น จะต้องรักษาดุลให้ดี
คือ ต้องไม่กร้าว แต่ก็ไม่อ่อนเกินไป หากแต่ต้องสงบนิ่งและเป็นมิตร
ลี แนะนำ แทตเชอร์ ให้บอก เติ้ง ว่า
"หากจีนไม่ประสงค์จะให้ฮ่องกงอยู่รอดปลอดภัยต่อไป ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ฉันก็ยอมรับแล้วว่า จีนต้องการจะรักษาชื่อของตัวเองในประชาคมโลก และนั่นแปลว่า อังกฤษไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านั้นได้ คำแนะนำของ นายกฯ ลี จึงเท่ากับยืนยันว่าสิ่งที่ฉันตัดสินใจว่าจะทำนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว..."
หรือพูดอีกแง่หนึ่ง ก็คือ "นางสิงห์" ยอมถอยให้ "เสือเตี้ย" เพื่อรักษา ฮ่องกง เอาไว้
และประวัติศาสตร์ก็จารึกว่า อังกฤษส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้กับจีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 อย่างเรียบร้อยสมบูรณ์
และ "เสือเตี้ย" ก็รักษาหน้า "นางสิงห์" ด้วยการยอมให้มี "หนึ่งประเทศสองระบบ" เพื่อการคงอยู่ของฮ่องกง ซึ่งก็เป็นประโยชน์ทั้งกับจีน เอเชีย และ ทั้งโลก
เมื่อสองยอดผู้นำระดับโลกเจอกัน ก็ต้องเล่นกลยุทธ์การทูตระดับเซียน...อย่างนี้แหละ