คดีปราสาทพระวิหาร : ข้อคิดและแนวทางต่อสู้ทางกฎหมาย

เมื่อปลายปี พ.ศ. 2553 ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร
ที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้วในปี พ.ศ. 2505 พร้อมกับมีคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกมาตรการฉุกเฉินจำนวน 3 ประการ ได้แก่
ประการที่หนึ่ง ให้รัฐบาลไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหารทันที
ประการที่สอง ห้ามรัฐบาลไทยเคลื่อนไหวทางการทหารที่มีผลกระทบต่อสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชา
ประการที่สาม ห้ามสร้างความขัดแย้งชายแดนจนกว่าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาเสร็จสมบูรณ์
ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลโลกได้มีคำสั่งจำนวน 7 ประการ โดยแยกเป็นคำสั่งมาตรการชั่วคราวจำนวน 4 ประการ และคำสั่งทั่วไปจำนวน 3 ประการ ได้แก่
คำสั่งมาตรการชั่วคราว (provisional measures order) จำนวน 4 ข้อ ประกอบด้วย
หนึ่ง ให้ทั้งไทยและกัมพูชา ถอนกำลังทหารออกจาก “เขตปลอดทหารชั่วคราว” (provisional demilitarized zone) ทันที ตามร่างแผนที่ (sketch map) ที่ศาลโลกได้กำหนด รวมทั้งห้ามทั้งไทยและกัมพูชาวางกำลังทหารในเขตหรือดำเนินกิจกรรมทางอาวุธใดๆ ที่มุ่งหมายไปยังเขตดังกล่าว
สอง ให้ไทยแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ให้ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ (free access) รวมทั้งการส่งเสบียง (fresh supplies /ravitailler) ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารของฝ่ายกัมพูชาในปราสาทพระวิหาร
สาม ให้ทั้งไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน และต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนสามารถเข้าไปยังเขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้ และ
สี่ ให้ทั้งไทยและกัมพูชาละเว้นจากกิจกรรมใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างกันเลวร้ายหรือรุนแรงมากขึ้น หรือทำให้ปัญหาข้อพิพาทมีความยากลำบากยิ่งขึ้นในการที่จะแก้ไข
คำสั่งทั่วไป จำนวน 3 ข้อ ประกอบด้วย
หนึ่ง สั่งไม่จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ (ศาลโลกรับคดีนี้ไว้พิจารณา)
สอง ให้ทั้งไทยและกัมพูชาต้องรายงานให้ศาลโลกทราบถึงการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกสั่งทั้งสี่ประการ และ
สาม สั่งว่าศาลโลกยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆ ที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการชั่วคราวต่อไปได้ จนกว่าศาลโลกจะมีคำพิพากษากรณีที่ทางกัมพูชาร้องขอให้ศาลโลกตีความตามคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505
โดยศาลโลกอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขคำสั่งที่เกี่ยวกับมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกมีคำสั่งไว้ได้หากมีเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลโลกพิจารณา
ทั้งนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการชั่วคราวของศาลโลกโดยเฉพาะการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่ศาลโลกเรียกว่าเขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งเป็นพื้นที่ตามที่ปรากฏในร่างแผนที่ที่ศาลโลกได้กำหนด นั่นคือพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงบางส่วน ซึ่งโดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในร่างแผนที่ที่ศาลโลกกำหนดให้ถอนทหารจะอยู่ในเขตแดนของไทยและพื้นที่ส่วนน้อยจะอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา โดยการเจรจาและท่าทีที่เป็นมิตรต่อกันทั้งของกัมพูชาและไทยที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นภาพความร่วมมือระหว่างสองประเทศดำเนินการไปด้วยดี
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 ศาลโลกได้กำหนดวันนัดพิจารณาคดีดังกล่าวในศาลที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทางกัมพูชาก็จะมีการส่งทีมงานกฎหมายนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์เพื่อให้ศาลเห็นและมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาให้เป็นตามที่กัมพูชาร้องขอ และในขณะเดียวกันไทยเราก็จะส่งทีมงานกฎหมายนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์หักล้างคำร้องขอของกัมพูชาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของกัมพูชาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ทีมงานกฎหมายไทยจะนำสืบหักล้างอย่างไรให้ศาลโลกเห็นพ้องด้วยกับฝ่ายเราจนศาลมีคำสั่งยกคำร้องของกัมพูชาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ผู้เขียนเห็นว่ามีข้อพิจารณา 4 ประการที่ทีมกฎหมายของไทยควรจะต้องให้ความสำคัญ ประกอบด้วย
ประการแรก ในปี พ.ศ. 2505 การต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยได้โต้แย้งคัดค้านเขตอำนาจศาลโลก (Preliminary Objection) ด้วย แต่เมื่อศาลโลกได้มีคำพิพากษาให้ฝ่ายกัมพูชาชนะคดีดังกล่าวซึ่งได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว ขั้นตอนหลังจากศาลโลกมีคำพิพากษาแล้ว (Post Adjudicative Phrase) ไม่มีหน่วยงานที่จะทำหน้าที่บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา (Enforcement Unit) โดยตรงเหมือนศาลยุติธรรมภายในประเทศ แต่กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 94(2) กำหนดให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UN Security Council) มีดุลพินิจ (Discretion) ในการที่จะออกคำแนะนำ (Recommendation) หรือมาตรการ (Measure) เพื่อให้คำพิพากษาศาลโลกมีผลใช้บังคับได้ เนื่องจากกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 94(1) บัญญัติให้ รัฐที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ซึ่งคดีนี้ศาลโลกเองก็ไม่ได้มีการออกคำบังคับเพื่อให้มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา (Enforcement) แต่ประการใด แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยนั้นก็ได้มี หนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติว่าไทยยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งผลที่เกิดขึ้นเท่ากับว่าฝ่ายไทยยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบคำประกาศฝ่ายเดียวหรือเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาฝ่ายเดียว (Single Compliance) ในเฉพาะคดีดังกล่าวเท่านั้น และไทยเราก็ได้ปฏิบัติครบถ้วนตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลโลกคดีดังกล่าวแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ในฐานะสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งจนถึงขณะนี้ระยะเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นมาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว
ประการที่สอง ภายหลังจากศาลโลกมีคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารโดยใช้หลักกฎหมายปิดปาก (estoppel) ที่ศาลยกประเด็นว่าไทยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านแผนที่ระวางอัตรา 1 : 200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในสมัยที่กัมพูชาเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส มีผลเท่ากับว่าไทยยอมรับที่จะผูกพันตามแผนที่ดังกล่าวมาพิพากษาให้ไทยแพ้คดีแล้ว ไทยก็ได้ให้การยอมรับปฏิบัติจนครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลโลกทุกประการในฐานะของสมาชิกสหประชาชาติที่ดี โดยยอมรับว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา และรัฐบาลไทยในขณะนั้นก็ได้มีหนังสือเพื่อตั้งข้อสงวนสิทธิ์และดำเนินการล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทพระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทย และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่เคยมีการอุทธรณ์คำพิพากษา และไม่เคยโต้แย้งหรือท้วงติงว่าการกระทำดังกล่าวของไทยเป็นการละเมิดคำพิพากษาและเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาแต่ประการใด
การที่กัมพูชาไม่เคยอุทธรณ์คำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารและไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านการล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทพระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เพราะฉะนั้น ผลทางกฎหมายก็เท่ากับว่าฝ่ายกัมพูชายอมรับมาตลอดแล้วว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาและพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทยมาโดยตลอด ดังนั้น หากคำพิพากษาศาลโลกมีมาตรฐาน หลักกฎหมายปิดปากที่ศาลโลกเคยใช้ในคดีดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2505 ก็(ควร)จะต้องถูกยกขึ้นมาอ้างอิงและใช้ในการวินิจฉัยคดีนี้ด้วยเช่นกัน
ประการที่สาม การแสดงให้เห็นว่ามีการยอมรับเขตอำนาจศาลโลก สามารถกระทำได้ 2 แนวทางคือ แนวทางแรก เป็นการยอมรับอำนาจเขตศาลแบบคำประกาศฝ่ายเดียว และแนวทางที่สอง เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลแบบทำความตกลงเป็นพิเศษ (Special Agreement) โดยรัฐที่เป็นคู่พิพาทยินยอมพร้อมใจหรือตกลงกันให้นำเสนอข้อพิพาทให้ศาลโลกพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด ปัจจุบันไทยไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยศาลโลก เพราะความเป็นภาคีสมาชิกของไทยสิ้นสุดลงพร้อมกับคำพิพากษาศาลโลกที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในปี พ.ศ. 2505 แล้ว หลังจากนั้นต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันไทยก็ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของศาลโลกอีก และไทยก็ไม่ได้มีการแสดงให้เห็นว่า มีการยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับอำนาจเขตศาลแบบคำประกาศฝ่ายเดียว หรือเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลแบบทำความตกลงเป็นพิเศษ
ประการสุดท้าย การยื่นคำร้องของกัมพูชาครั้งนี้เพื่อให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่เคยตัดสินไปแล้วในปี พ.ศ. 2505 ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการเสนอข้อพิพาทขึ้นใหม่ของกัมพูชา หรือเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นหลักที่ฝ่ายกัมพูชามุ่งประสงค์ให้ศาลโลกวินิจฉัยตามคำร้องคดีนี้นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร ไม่ใช่ให้วินิจฉัยชี้ขาดตัวปราสาทพระวิหารโดยตรง ดังนั้นการยื่นคำร้องคดีดังกล่าวจึงไม่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาเนื่องจากคดีเดิมนั้นได้ล่วงพ้นระยะเวลามาเกินกว่าสิบปีแล้วและคดีดังกล่าวก็ได้ถึงที่สุดไปแล้ว และไม่ใช่เป็นการเสนอข้อพิพาทขึ้นใหม่เนื่องจากการยื่นคำร้องของกัมพูชาครั้งนี้เป็นเพียงการขอให้ศาลโลกอธิบายคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่เคยตัดสินไปแล้วในปี พ.ศ. 2505 ดังกล่าวว่าจริงๆ แล้วคำพิพากษาคดีดังกล่าวกินความรวมถึงพื้นที่อื่นๆ (ตามร่างแผนที่แนบท้ายคำร้องของกัมพูชา) ที่อยู่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหารด้วยหรือไม่เท่านั้น ซึ่งการยื่นคำร้องขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาตามหลักกฎหมายทั่วไปจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจคำพิพากษาและไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ถูกต้องตามคำพิพากษาได้ และการยื่นคำร้องขอให้อธิบายคำพิพากษากรณีที่มีคู่ความทั้งสองฝ่ายคู่ความทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องร่วมกัน แต่คดีนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอธิบายคำพิพากษา เนื่องจากคำพิพากษาในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีโดยชัดแจ้งแล้วโดยทั้งไทยและกัมพูชาเข้าใจคำพิพากษาดีโดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์หรือโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาคดีดังกล่าวและไทยก็ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาอย่างครบถ้วนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ซึ่งกัมพูชาก็ยอมรับมาโดยตลอดและไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านการล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทพระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทย หากศาลโลกจะวินิจฉัยในเรื่องของพื้นที่ดังกล่าวอีกก็จะไม่เป็นการอธิบายคำพิพากษาแต่จะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดก้าวล่วงเข้าไปในเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเขตแดนโดยไม่มีกฎหมายที่จะให้อำนาจศาลโลกกระทำได้
การวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ของศาลโลกจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า ศาลโลกจะเป็นศาลที่ส่งเสริมสันติภาพหรือส่งเสริมสงคราม ซึ่งคงไม่นานเกินรอก็จะได้รู้กัน แต่ใครก็ตามที่ร่วมสมคบคิดกันใช้อำนาจศาลโลกเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการทำให้ไทยต้องเสียดินแดน พึงระลึกให้จงหนักว่าการกระทำใดๆ ก็ตามถ้ามีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือมีผลให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือทำให้เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐเสื่อมเสียไป จะเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 1 ที่บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” และอาจถูกดำเนินคดีอาญาในฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต” ได้ ซึ่งผู้เขียนและคนไทยทั้งประเทศมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย ก็คงไม่อาจนิ่งเฉยอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนและคนไทยทั้งประเทศยังมีความหวังและมีความเชื่อมั่นว่าไม่ว่าศาลโลกจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร แต่ด้วยศักยภาพของรัฐบาลในขณะนี้คงจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยไม่มีการสูญเสียอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ในขณะเดียวกันเราก็สามารถที่จะปฏิสัมพันธ์กับกัมพูชา มิตรประเทศอื่นๆ และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีต่อไป