การแบ่ง เกรด กระทรวง สะท้อนความล้าหลังของชาติ

เมื่อมีรัฐมนตรีใหม่คนหนึ่งบอกว่าตัวเองโดน ลดเกรด เพราะโอนไปอยู่กระทรวงนั้น
นั่นก็ย่อมแปลว่าในแวดวงการเมืองและนักเลือกตั้งกระทรวง ทบวง กรม ได้รับการ “แบ่งเกรด” ตามลำดับความสำคัญในสายตาของตัวเอง
และ “เกรด” ของกระทรวงที่นักการเมืองที่ต้องการคุมนั้น มีความแตกต่างไปจากความต้องการของประเทศที่จะพัฒนาไปสู่ทิศทางที่ควรจะเป็น
นี่คือสาเหตุที่ประเทศเราไปไม่ถึงไหนสักที
เพราะการที่นักการเมืองอาสามาทำงานเพื่อประเทศ หากเขามองเห็นลำดับความสำคัญของการสร้างให้บ้านเมืองไปสู่เป้าหมายที่ควรจะเป็นก็จะต้องให้ “เกรด” กับกระทรวงสร้างคนและความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นหลัก
ไม่ใช่จัดกระทรวงตามโอกาสที่จะ “ทำมาหากิน” ของนักการเมืองอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วและต้องการจะพัฒนาต่อเนื่องกระทรวงที่สำคัญอันดับต้น ๆ ต้องเป็นกระทรวงศึกษา ไม่ใช่กระทรวงกลาโหม หรือกระทรวงมหาดไทย หรือแม้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงที่จะสร้างอนาคตของประเทศได้ ต้องมุ่งไปที่การสร้างทรัพยากรมนุษย์และรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งจะต้องเป็นกระทรวงที่เน้นเรื่องนวัตกรรม, วิทยาศาสตร์และการค้นคว้า
แม้กระทั่งกระทรวงที่เกี่ยวกับความมั่นคงเช่นกลาโหม และมหาดไทย ก็จะต้องปรับวิธีคิดและแนวทางการทำงานให้เกี่ยวโยงกับ “ความมั่นคงของมนุษย์” มิใช่เรื่องทำสงครามหรืออาวุธยุทโธปกรณ์อย่างที่เป็นอยู่
ที่น่าเศร้ากว่านั้นก็คือการเลือกใครเป็นรัฐมนตรีประจำกระทรวงไหนไม่เกี่ยวกับความรู้ความสามารถของผู้ที่ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรี เพราะการตั้งคณะรัฐมนตรีของการเมืองไทยคือการ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ทางการเมือง มิใช่เป็นการเลือก the best and the brightest มาทำงานที่ถูกต้องเหมาะสมกับประสบการณ์ของคนนั้น ๆ
ยิ่งมีแนวโน้มว่าการปรับ ครม. คือเกม “เก้าอี้ดนตรี” ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันประมาณทุกหกเดือนเพื่อให้เป็นไปตามสูตร “บุญคุณต้องทดแทน” ก็ยิ่งไม่ต้องหวังว่าเราจะได้คนดีคนเก่งมาทำงานให้กับประชาชนในระดับชาติ
“เกรด” ของแต่ละกระทรวงนั้นหากประชาชนได้มีโอกาสเป็นคนจัดลำดับตามความสำคัญ ที่เจ้าของประเทศเองมองเห็นก็จะแตกต่างไปจากที่พรรคการเมืองทั้งหลายกำหนดเอาไว้เป็นประเพณีมาช้านานจนกลายเป็น “วงจรแห่งความชั่วร้าย” ที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขได้
เพราะการเมืองกลายเป็นการ “ลงทุน” ของนักเลือกตั้งที่วัดกันด้วย “ผลตอบแทน” ที่ภาษานักการเงินเรียก Return on Investment (ROI) ซึ่งหมายความว่าการเมืองคือธุรกิจที่หวังผลกำไรระยะสั้นโดยไม่สนใจว่าผลพวงต่อสังคมด้านอื่น ๆ จะมีมากน้อยเพียงใด
การ “แบ่งเค้ก” ของนักการเมืองจึงเป็นไปตามสูตรว่ากระทรวงไหนที่ “ให้ผลตอบแทน” ทางธุรกิจสูงสุดก็จะเป็นที่หวังปองของนักเลือกตั้ง จึงเป็นที่มาของคนที่ได้รับเลือกมาเป็นรัฐมนตรีแล้วเกิดเสียงอุทาน “ยี้” บ่อย ๆ จากสังคม
เพราะ “ผู้ร่วมลงทุน” ทางการเมืองไม่ได้กำหนดด้วยความรู้ความสามารถหรือมาตรฐานศีลธรรม หรือแม้ประวัติความประพฤติแต่หนหลัง หากแต่อยู่ที่เงื่อนไขข้อเดียว นั่นคือมีเงินใส่เข้าไปในพรรคการเมืองนั้น ๆ เพื่อแลกกับ “โควตา” แห่งผลประโยชน์ที่จะตามมา
และผลประโยชน์ที่ว่านี้ก็คือการแบ่งสันปันส่วนอำนาจ ในการบริการกระทรวงทบวงกรมที่มีโอกาส “ให้ผลตอบแทน” ที่เร็วช้า, มากน้อยแตกต่างกันตามอำนาจที่กฎหมายให้กับกระทรวงต่าง ๆ เหล่านั้น
จึงเป็นที่มาของคำว่า “ลดเกรด” หรือ “ยกเกรด” อันน่าสะพรึงกลัวทุกวันนี้