ความเปลี่ยนแปลง ชนบท ในสังคมไทย : บนความเคลื่อนไหวสู่ประชาธิปไตย (2)

ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใน ชนบท ของสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง
และความเปลี่ยนแปลงนี้ได้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือสังคมไทยขาดความรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
ดังนั้น ความจำเป็นเร่งด่วนในวันนี้ ก็คือ การสร้างความรู้-ความเข้าใจในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของ “ชนบท” เพื่อที่จะทำให้เราทั้งหมดมองเห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ ลึกซึ้งมากกว่าการประณามแบบมักง่ายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม
ความตั้งใจใช้คำต่อท้ายในชื่อบทความความเปลี่ยนแปลง “ชนบท” ในสังคมไทยว่า “บนความเคลื่อนไหวสู่ประชาธิปไตย” เป็นความต้องการที่จะชี้ว่ากระบวนการเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยนี้ยังคงเป็นกระบวนการของการเคลื่อนไหวอยู่ หากจะแปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Democracy on the move ซึ่งหมายความว่ายังไม่นิ่งและยังไม่เห็นเส้นทางที่ชัดเจนแน่นอน แม้ว่าทิศทางไปพอเห็นอยู่ก็ตาม
ความรู้และความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงใน “ชนบท” ที่ควรจะเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนนี้จะทำให้เรา/สังคมไทยมองเห็นและพอจะวางแนวทางได้ว่าการเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะนำไปสู่อะไรและในฐานะที่เราต่างเป็นคนในสังคมไทยด้วยกัน เราจะช่วยกันผลักไปสู่ความ “เป็นประชาธิปไตย” มากขึ้นอย่างไร
การเขียนบทความหรือเสนอความคิดต่อสาธารณะในช่วงหลังๆ นี้ ผมมักจะคิดอยู่ในระนาบของ “บนความเคลื่อนไหว” (On the Move) เพราะผมเห็นว่าระบบความสัมพันธ์ทั้งหมดทุกมิติของสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัว/ปรับเปลี่ยน/เปลี่ยนแปลง อย่างลึกซึ้งและไพศาล และผมเองไม่ชัดเจนว่าความเปลี่ยนแปลงนี้จะนำเราไปสู่อะไร
ไม่ใช่เพียงระบบความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ภายในสังคมไทยนะครับ ระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ/ประเทศต่างๆ ในโลกก็กำลังอยู่ในจังหวะของความเปลี่ยนแปลง หากเราจะใช้คำว่าความสมดุล (Equilibrium) (ซึ่งแทนความจริงไม่ได้หมดเพราะไม่เคยมีความสมดุลจริงๆ) ก็จะพบว่าสภาวะในวันนี้ของความสัมพันธ์ในระบบโลกกำลังขาดความสมดุล (Disequilibrium) ซึ่งจะนำไปสู่อะไรก็ยังไม่มีใครคาดเดากัน (ไม่ทราบว่าเห็นภาพเรือรบลำใหญ่ของญี่ปุ่นกันไหมครับ)
สำหรับสังคมไทยเอง ความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของ “ชนบท” เป็นเรื่องหลัก เพราะไม่เช่นนั้น เราก็จะเข้าใจอะไรเป็นส่วนเสี้ยวซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสังคมเลย สังคมไทยยังขาดการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ “ชนบท” อย่างรอบด้าน และมิได้มองในเชิงเปรียบเทียบหลายๆ พื้นที่ จะต้องศึกษาชนบทโดยคำนึงถึงความแตกต่างกันระหว่างภูมิภาค เช่น ระหว่างคนภาคใต้และภาคตะวันออกกับคนในภาคเหนือและภาคอีสาน ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะของคนแต่ละกลุ่ม เพื่อจะสามารถตอบได้ว่าทำไมคนในพื้นที่ชนบทแห่งเดียวกันจึงใส่เสื้อสีที่แตกต่างกัน
ประการสำคัญ การศึกษาที่ผ่านมามุ่งพิจารณาการเคลื่อนไหวของชาวชนบทที่เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับชาติเป็นหลัก เป็นการพิจารณาจากมุมมองของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกันปัจเจกชน (Political Movement) อันเป็นการวางกรอบความคิดไว้ว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกัน ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการศึกษาความเปลี่ยนแปลงในระดับพื้นที่ “ชนบท” ให้ละเอียดชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้ได้ชุดความรู้ที่มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คนในสังคมเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
ความจำเป็นที่จะต้องทำให้คนในสังคมไทยเข้าใจซึ่งกันและกันให้มากขึ้น ก็เพราะในด้านหนึ่งสังคมไทยถูกทำให้จำกัดกรอบการอธิบายความเปลี่ยนแปลงของชนบทไทยไว้เพียงแค่ภาพโรแมนติกของชนบทไทยที่แม้ว่ายากจนทางด้านวัตถุแต่ก็งดงามทางด้านจิตใจ
พัฒนาการการรับรู้ภาพชนบทไทยได้เกิดขึ้นในการรับรู้ของชนชั้นนำในช่วงแรกของการเปลี่ยนรูปรัฐในช่วงรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีสองภาพซ้อนทับกันอยู่ กล่าวคือ ภาพชนบทที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นภาพของความป่าเถื่อนและ “ไร้ความศิวิไลซ์” ขณะเดียวกันในความป่าเถื่อนนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมีน้ำใจเยี่ยงชาวบ้านไทย
ความหมายของ “สังคมเมือง-สังคมชนบท” ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคสมัยของการพัฒนาได้ทำให้เกิดการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทโดยยังรักษาคุณลักษณะของชนบทไว้อยู่ น่าสนใจที่ว่าการเกิดของภาพสังคม “ชนบท” ที่โรแมนติกนี้เกิดขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่การเกิดขึ้น/ขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (โปรดดู Raymond Williams, The Country and the City, New York : Oxford University Press,1975)
การรับรู้และยกระดับปัญหาของสังคมชนบทไทยจึงไปไม่พ้นกรอบความคิดเดิมที่วางเอาไว้ ขบวนการนักศึกษาในช่วงต้นทศวรรษ 2510 ที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยไปสู่ชนบทในนามของ “อาสาพัฒนาชนบท” ก็อยู่ในกรอบความคิดและความรู้สึกเดียวกัน จนกระทั่งการรับรู้ปัญหาชนบทนั้นมามากเกินกว่าที่กรอบความคิดที่อธิบายชนบทนั้นจะรองรับได้ จึงทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการอธิบายชนบทของขบวนการนักศึกษา หรืออาจจะกล่าวได้ว่าการค้นพบ “คนจน” ในชนบทของขบวนการนักศึกษาได้ทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนทางการเมืองจนนำมาสู่การสร้างขบวนการ “สามประสาน” เพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของชาวชนบทในช่วง2516-2519
ภายหลังจากที่ขบวนการนักศึกษาล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาชนบทด้วยการใช้กำลังแล้ว การปรับเปลี่ยนการรับรู้และปฏิบัติการทางสังคมของความรู้เกี่ยวกับชนบทก็เกิดขึ้น ต้นทศวรรษ 2530 ได้เกิดสำนักคิดที่เรียกกันภายหลังว่า “สำนักวัฒนธรรมชุมชน” ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มกันของนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน และผู้นำชาวบ้านในที่ต่างๆ
ขอต่อคราวหน้าอีกสักบทนะครับ