กระทรวงต่างประเทศ บอกนักการทูตต่างชาติว่าอย่างไร?

เห็นภาพของเหล่าบรรดาเอกอัครราชทูต และนักการทูตจากประเทศต่างๆ ที่ได้รับเชิญมาที่กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันก่อน เพื่อรับฟัง “บรรยายสรุปสถานการณ์” (briefings) จากคนของกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่ารัฐบาลไทยจะส่ง “สาร” อะไรออกไปสู่เวทีสากล
เพราะหากว่าฟังเฉพาะที่เราได้ยินจากรัฐมนตรีต่างประเทศของไทย เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังสับสนอลหม่านขณะนี้ ก็จะได้ความเพียงข้างเดียว นั่นคือ การกล่าวหาว่าผู้ประท้วงกำลังทำผิดกฎหมาย และรัฐบาลต้องประกาศขยายพื้นที่ภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงออกไปให้กว้างขวางขึ้น
ไม่ยอมบอกว่าคนเขาประท้วงกันอย่างกว้างขวางนั้น เพราะอะไรกันแน่
สำหรับนักการทูตต่างประเทศแล้ว การที่รัฐบาลต้องทำอย่างนั้น ย่อมหมายความว่า เหตุการณ์กำลังบานปลายเกินกว่าที่กฎหมายที่มีอยู่จะดูแลความสงบเรียบร้อยได้
หรือตีความไปอีกทางหนึ่ง ก็คือว่า รัฐบาลของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะ “เอาไม่อยู่” หรืออย่างไร
ผมไม่แน่ใจว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้แปลแถลงการณ์และคำเรียกร้องของฝ่ายคัดค้านรัฐบาลให้กับนักการทูตไปอ่านเปรียบเทียบ เพื่อความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองของไทย รอบด้านหรือไม่
เพราะหากว่ามีการชี้แจงเรื่องราวอย่างครบถ้วนจริงๆ แล้ว ทางการไทยก็จะต้องอธิบายเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม “สุดซอย” ซึ่งเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากมายต้องลุกขึ้นมาประท้วงกันอย่างต่อเนื่อง จนมีจำนวนคนออกมานอกถนนเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วย
ผมไม่รู้ว่า นักการทูตต่างประเทศคนไหน กล้าถามรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยหรือเปล่าว่าเหตุการณ์อย่างนี้ นายกฯ รัฐมนตรี ในฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลควรจะต้องยื่นมือออกไปยังผู้ประท้วงเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างไรหรือไม่
หรือทำไม พรรคเพื่อไทย จึงประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่บทบาทหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระแห่งนี้ มีกำหนดเอาไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ
มีนักการทูตคนไหน ถามไหมว่าทำไมพรรคเพื่อไทย จึงจะฟ้องกลับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงส่วนใหญ่ 5 ท่าน และไม่ฟ้องตุลาการที่เหลือจากทั้งหมด 9 ท่าน?
แปลว่า พรรครัฐบาลจะไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะส่วนที่มีมติที่พรรคเพื่อไทย ไม่ชอบเท่านั้นหรือ? และจะยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เฉพาะที่มีคำวินิจฉัยไปในทางที่เอื้อต่อพรรคเท่านั้นหรือ?
ผมว่านักการทูตต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ก็คงจะงงงันกับความเป็นไปในการเมืองไทยของเราไม่น้อยเลย
เพราะว่าในระบอบการปกครองที่เรียกตนเองว่า “ประชาธิปไตย” นั้น ย่อมหมายความว่าเสียงส่วนใหญ่จะต้องฟังเสียงส่วนน้อย และเมื่อเกิดคำถามเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ระหว่าง นายกฯ คนปัจจุบัน กับ อดีตนายกฯ ที่บังเอิญเป็นพี่ชายด้วยนั้น คนเป็นผู้นำประเทศจะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง
นักการทูตจำนวนหนึ่ง คงจะมีประสบการณ์กับการประท้วงทางการเมืองของไทยในครั้งก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง ดังนั้น พวกเขาคงจะนำมาเปรียบเทียบได้ว่า การประท้วงครั้งใดมีระดับความน่าเชื่อถือมากน้อยกว่ากันอย่างไร
กลุ่มไหนยึดสถานที่ราชการ กลุ่มไหนมีส่วนเผาบ้านเผาเมือง กลุ่มไหนขัดขืนอารยะเป็นสัญลักษณ์ และกลุ่มไหนควบคุมคนของตนไม่อยู่ จนกระทำการนอกเหนือคำสั่งไปอย่างให้อภัยไม่ได้?
แต่ที่สำคัญก็คือ หากกระทรวงการต่างประเทศเชิญนักการทูตมาบรรยายสรุปแล้ว จะต้องตอกย้ำว่าประชาชนที่ออกมาประท้วงจำนวนไม่น้อย ต้องการแสดงจุดยืนไม่ยอมรับคอร์รัปชันของนักการเมือง และข้าราชการอีกต่อไป
และข้อเรียกร้องที่สำคัญของคนที่ออกมาแสดงการ “อารยะขัดขืน” ต่อรัฐบาลนั้น เพราะว่าต้องการจะยืนหยัดไม่ยอมให้เรื่องของ “การทับซ้อนของผลประโยชน์” หรือ conflict of interests ในระดับสูงของประเทศกลายเป็นเรื่องปกติที่ต้องยอมรับกันอีกต่อไป
หากนักการทูตเหล่านั้นมีมาตรฐานสูง และเข้าใจในข้อเรียกร้องของผู้ต่อต้านที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อย่างตรงไปตรงมา ไม่ฟังแต่เพียงข้อกล่าวอ้างของรัฐบาลเท่านั้น ภาพลักษณ์ของประเทศไทยก็จะยังเป็นไปในทางบวกไม่น้อย เพราะนั่นย่อมแปลว่า คนไทยมีความตื่นตัวทางด้านการเมือง และรู้จักปกป้องผลประโยชน์ของตนเองจากนักการเมืองฉ้อฉลอย่างจริงจังแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศ มี “มืออาชีพ” อยู่ไม่น้อย จึงควรทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อนักการทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย อย่างตรงไปตรงมา ให้เกิดภาพลักษณ์ที่ถูกต้อง
เพราะแม้ว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะไม่บอกความจริงกับเขา นักการทูตที่รับผิดชอบและเป็นมืออาชีพทั้งหลาย ก็สืบหาข้อมูลจากท้องถนนและคนไทยหลากหลายอาชีพอยู่แล้ว
ผมเป็นห่วงก็แต่เพียงว่า กระทรวงการต่างประเทศไทย จะไม่ให้เขามองว่าเป็นพวกที่นักการเมืองสั่งซ้ายหันขวาหันได้เท่านั้นเอง
เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็อาจจะซุบซิบถึงคำว่า Siamese Talk ให้คนไทยอย่างพวกเราเจ็บปวดหัวใจกันอีกรอบหนึ่ง...เท่านั้นเอง