ทำไม 'มวลมหาประชาชน'จึงเป็น 'บุคคลแห่งปี'?
โดยไม่ได้นัดหมายกัน หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ประกาศให้ มวลมหาประชาชน เป็น บุคคลแห่งปี ในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
เหตุผลของสื่อมวลชนหลายสำนักในการมีมติเช่นนี้ ผมเชื่อว่าเป็นเพราะเห็นพ้องกันว่า การที่ประชาชนจำนวนมากออกมาแสดงจุดยืนให้มีการ “ปฏิรูปการเมือง” อย่างจริงจังเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เป็นครั้งแรกที่คนจากทั่วสารทิศ อาชีพมากมายหลากหลาย คนวัยต่าง ๆ กันตัดสินใจไม่เป็น “ไทยเฉย” และออกมาชุมนุมเพื่อจะยืนยันว่า “บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ไม่ได้อีกต่อไป”
การมารวมตัวกันของคนจำนวนมากเพื่อต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีใครคนใดคนหนึ่งไปหว่านล้อมให้ทำตาม “ผู้นำม็อบ” และไม่มีใครเป็น “นายทุน” จ้างให้มากระทำการร่วมกันเพื่อล้มล้างรัฐบาลอย่างที่บางฝ่ายอาจจะตั้งข้อสังเกต
ความจริง “มวลมหาประชาชน” มิได้เป็น “ม็อบ” ในความหมายที่แท้จริง เพราะ “ม็อบ” (Mob) หมายถึงกลุ่มคนที่รวมตัวกันกระทำการที่รุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน ซึ่งอาจจะเป็นจุดประสงค์ที่ถูกต้องด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม
แต่การชุมนุมของคนไทยจากทั่วประเทศที่เริ่มด้วยต่อต้านคัดค้านการที่ ส.ส. รัฐบาลลงมติผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนผิดคดีคอร์รัปชันอย่างโจ๋งครึ่มในลักษณะ “สุดซอย” นั้นคือ “ฟางเส้นสุดท้าย” ของความอดทนต่อพฤติกรรมนักการเมืองที่โกงกิน, เล่นเส้นสายและใช้เงินเพื่อซื้อตำแหน่งและอำนาจให้อยู่ยาวนานที่สุด
การประท้วงต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” เพื่อจะได้มีการ “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย” จากอิทธิพลนักเลือกตั้ง ผู้สามารถใช้เงินและอำนาจในการกำหนดผลการหย่อนบัตรเลือกตั้งมาเป็นการเลือกตั้งที่สะอาด, บริสุทธิ์และได้ตัวแทนประชาชนที่แท้จริงมารับใช้ผลประโยชน์ของชุมชนของเขา มิใช่ได้นักการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมที่ใช้ภาษีประชาชนเพื่อ “ซื้อความภักดี” ที่จะเลือกพวกเขากลับมาทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง
ไม่ว่าผู้ประท้วงเหล่านี้จะเห็นด้วยหรือไม่กับ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือ สปปก. ในหลาย ๆ เรื่องก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเจตนารมย์ร่วมของผู้ประท้วงก็คือ ความต้องการให้มีกระบวนการปฏิรูปประเทศที่โปร่งใสและชัดเจน ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้เงินทองและอำนาจบารมีของตนกำหนดให้ประเทศชาติต้องเป็นไปตามแนวทางที่ตนต้องการอีกต่อไป
“มวลมหาประชาชน” ได้แสดงออกถึงความพร้อมเพรียงและมุ่งมั่นในการเรียกร้องอย่างนี้ด้วยวิธีการสันติอหิงสาและใช้มาตรการ “อารยะขัดขืน” สากลเพื่อกดดันให้ผู้มีอำนาจต้องยอมลงจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปอย่างแท้จริง
ดังนั้น จึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าการแสดงออกของผู้คนจำนวนมหาศาลเหล่านี้เป็น “ของจริง” และเป็นการแสดงออกของคนไทยที่บริสุทธิ์, พร้อมจะเสียสละเพื่อชาติและไม่ยอมให้ความสกปรกโสมมทางการเมืองมาทำให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่ภาวะ “รัฐล้มเหลว” อีกต่อไป
ผมไม่เชื่อว่านักการเมืองคนไหน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจะสามารถ “ใช้” มวลมหาประชาชนเป็น “เครื่องมือ” ทางการเมืองของตน เพราะคนไทยจำนวนมากได้ตื่นจากความเฉื่อยเฉยทางการเมือง และพร้อมจะลุกขึ้นปกป้องรักษาสิทธิ์แห่งความเป็นเจ้าของประเทศอย่างกล้าหาญองอาจแล้ว
ปีใหม่ 2557 จะยิ่งเห็นการพัฒนาจากการเป็น “ผู้ชุมนุม” เป็น “เครือข่ายพลเมือง” ที่กระจายไปทั่วประเทศและเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น ปราดเปรียว และมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาฯจะเกิดหรือไม่ เกิดแล้วมีปัญหาอย่างไรหรือไม่ จะมีการตั้ง “สภาประชาชน” หรือ “สภาปฏิรูป” อย่างไรหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วก็คือ “เครือข่ายพลเมืองเพื่อการปฏิรูป” ที่จะไม่ยอมให้นักการเมืองโกงกินและ “ระบอบทักษิณ” ปล้นความเป็นเสรีชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนอีกต่อไป