Win-Win, Win-Lose, Lose-Lose

คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่ง กปปส. ประกาศว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่มีคำว่า Win-Win
มีแต่ Win-Lose แปลว่าต้องชนะกันไปข้างใดข้างหนึ่ง คือไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ชนะก็แพ้ ไม่มีการเจรจา ไม่มีการปรองดอง
จำได้ว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ก็เคยประกาศเอาไว้ว่าเขา “ไม่รู้จักคำว่าแพ้”
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะไม่ใช่คนที่จะประกาศอะไรเกรี้ยวกราดอย่างนั้น แต่แม้ว่าน้ำเสียงที่ให้สัมภาษณ์บ่อยครั้งจะฟังดูเหมือนว่า พร้อมจะเจรจาและหาทางออกให้กับประเทศชาติด้วยการพูดจากับฝ่ายผู้ประท้วง แต่การตัดสินใจและการกระทำทุกครั้งก็ตีความไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้
นอกจากว่าจะเป็นการ “ยืนหยัด” อยู่ในจุดเดิม คือไม่ลาออก ไม่เลื่อนการเลือกตั้ง
และล่าสุดก็ไม่ยอมพบปะกับ “ห้าเสือ กกต.” เพื่อพิจารณาข้อเสนอที่จะให้มีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาทีหลัง
สรุปว่านายกฯ ก็ไม่เชื่อในเรื่อง Win-Win เหมือนกัน ต่างมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเท่านั้น
ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งยังมองไม่เห็นเลยว่า ท่าทีแข็งกร้าวของทั้งสองฝ่ายอย่างนี้จะนำไปสู่ “ชัยชนะ” ของแต่ละฝ่ายได้อย่างไร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะคิดว่าไม่ยอมเสียสละอะไรเลย แล้วจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ไปได้
เพราะคำว่า “ชัยชนะ” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของการเผชิญหน้าทางการเมืองขณะนี้ย่อมหมายถึง “ความพ่ายแพ้” ของประชาชนส่วนใหญ่
หากต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ยอมเจรจา ไม่ยอมหาทางออกร่วมกันทั้ง ๆ ที่พูดจาด้วยวาทกรรมเหมือนกัน, บ้านเมืองก็จะเข้าสู่ภาวะวิกฤติหนักหน่วงขึ้นไปอีก
เอาเข้าจริง ๆ ทุกฝ่ายที่อยู่ในความขัดแย้งต่างก็อ้างว่าต้องการ
1.ประชาธิปไตย
2.ต้องการเลือกตั้ง
3.ต่อต้านรัฐประหาร
4.ต้องการปฏิรูป
เหมือนกันหมด
ต่างกันเพียงรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น โดยต้องหลีกเลี่ยงความรุนแรงเท่านั้น
แค่นี้ นักการเมืองก็ไม่มีปัญญาที่จะหาทางตกลงร่วมกันได้ ถือเป็นความล้มเหลวของกระบวนการประชาธิปไตยขั้นพื้นฐานของบ้านเมือง
ฝ่ายต่อต้านประกาศว่าจะต้องล้ม “ระบอบทักษิณ” ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าพวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ “ระบอบทักษิณ” หากเป็นส่วนหนึ่งของ “ระบอบประชาธิปไตย”
เอาเฉพาะคำพูดของทั้งสองฝ่ายก็น่าจะตรงกัน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” นั้นแม้คนที่ถูกมองว่าอยู่ในระบอบนั้นยังปฏิเสธว่าไม่มีสิ่งนั้นอยู่
อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มจะพูดถึง “ระบอบสุเทพ” ทำนองเปรียบเทียบกับ “ระบอบทักษิณ” ซึ่งมีความหมายทำนองว่าเป็นเผด็จการ, เป็นความเคลื่อนไหวที่อยู่ใต้อิทธิพลและการบงการของคนเพียงคนเดียว
ถ้าเชื่อว่ามี “ระบอบทักษิณ” จึงจะมี “ระบอบสุเทพ” มาเปรียบมวยกัน
หากบอกว่าไม่มี “ระบอบทักษิณ” ก็จะเอ่ยถึง “ระบอบสุเทพ” ไม่ได้เช่นกัน
ฝ่ายต่อต้านพูดถึง “เผด็จการรัฐสภา” ฝ่ายรัฐบาลก็ย้อนแย้งกลับมาด้วย “เผด็จการเสียงข้างน้อย” ได้เช่นกัน
ส่วนใหญ่ของการแลกเปลี่ยนวิวาทะกันนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่ “เนื้อหา” หากแต่อยู่ที่ “ลีลาและภาษา”
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการที่ยังหาทางออกจากภาวะตีบตันนี้ไม่ได้
ท้ายที่สุด ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่มีทาง Win-Win ได้ ก็จะต้องกลายเป็น Lose-Lose เพราะการตั้งเป้าว่าจะต้องมี Win-Lose อย่างเดียวนั้น เท่ากับต่างฝ่ายต่างกระทำไม่ตรงกับคำพูดของตน และจะพาประเทศไปสู่ภาวะการเผชิญหน้าที่นักการเมืองต้องการ Win เพื่อให้ประชาชนเป็นฝ่าย Lose เท่านั้น
ในชีวิตจริงนั้นไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิ์ที่จะ “ชนะ” แต่เพียงฝ่ายเดียวและคาดหวังว่าจะอยู่ยั่งยืนและสันติสุขได้