"อุบัติเหตุ" หรือ เจตนาฆ่าคนตาย

"อุบัติเหตุ" หรือ เจตนาฆ่าคนตาย

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เขียนบทความในชื่อเรื่องคล้ายๆ กับ ชื่อของบทความในวันนี้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

เพราะเกิดเหตุการณ์ผู้มีชื่อเสียงและฐานะทางสังคมขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย เกิดเสียงนินทาอื้ออึงในสังคม เพราะดูเหมือนว่าโทษที่บุคคลดังกล่าวได้รับจะเบาหวิว เหมือนกับว่า กระบวนการยุติธรรมจะหย่อนยานหรือเอื้อเฟื้อให้กับคนบางกลุ่มในสังคมมากเกินไปหรือไม่

อีกทั้งเกิดคำถามขึ้นมามากมายว่า ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุนั้นจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้ขับขี่ “มีสภาวะจิตหรือเจตนาอย่างไรเป็นแน่แท้” เราคงเคยทราบถึงกรณีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่วิ่งสวนเลนมาชนกับรถที่ขับในช่องจราจรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฝ่ายถูกมักมีข้ออ้างมากมายทั้งเรื่องมองไม่เห็นบ้าง บางทีอ้างอีกฝ่ายกระทำการโดยประมาทอื่นๆ บ้าง เพราะ “คนตายพูดหรือแก้ต่างอะไรไม่ได้” ทั้งที่หลายคดีเมื่อพิจารณาจากลักษณะการชน บางทีไม่มีรอยเบรกให้เห็น เหมือนจะเร่งเครื่องพุ่งเข้าชนจะด้วยความหมั่นไส้ โมโห อาฆาตมาดร้ายหรืออย่างไรก็สุดแต่จะคาดเดาในเจตนา ซึ่งสมควรที่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบ ไม่ใช่สักแต่รับแจ้งความดำเนินคดีไปตามคำกล่าวอ้างของคู่กรณี

ปัญหาคือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร หรือ “กฎหมายที่ยึดตัวหนังสือที่เขียนขึ้นเป็นสำคัญ” อะไรที่กฎหมายระบุว่า “ผิด ก็ต้องผิด” เว้นแต่จะหาช่องทางเลี่ยงบาลี หรือ ตะแบงไปเพื่อให้ฝ่ายตนได้เปรียบ ด้วยคำแนะนำของที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวบ้างหรือผู้ทำตัวเป็นผู้รู้บ้าง เหตุผลก็เพื่อหาทางลดหย่อนบรรเทาโทษ ซึ่งในห้วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาภายหลังการมีคำพิพากษาเพิ่มจำนวนชั่วโมงการคุมประพฤติของนักศึกษาสาวที่ขับรถเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถตู้บนทางด่วนเมื่อหลายปีก่อนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ก็ได้มีเหตุการณ์ในลักษณะกระทำการโดยประมาทที่ไม่อาจคาดเดาเจตนาของผู้ต้องหาเกิดขึ้นอีกหลายเหตุการณ์

ไม่ว่าจะกรณีผู้บริหารของบริษัทภาคเอกชนที่ทราบจากข่าวว่าน่าจะมีการดื่มแอลกอฮอล์เกิดอาการมึนเมาขับรถเบนซ์ชนรถขยะและคนเข็นรถขายของเสียชีวิตแถวๆ ย่านเยาวราช ตามมาด้วยรถฟอร์จูนเนอร์ของคนไต้หวันขับชนรถคันอื่นๆ และไถลมาทับคนขายของข้างทางบริเวณย่านบางรักเสียชีวิต โดยล่าสุดกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านความมั่นคงย่านตลิ่งชันก็ได้สังเวยชีวิตให้กับรถฟอร์จูนเนอร์อีกคันที่ขับโดยนักศึกษาวัยรุ่นที่อ้างแว่นสายตาหล่นขณะขับรถด้วยความเร็วสูงพุ่งชนเจ้าหน้าที่ประจำด่าน

เรื่องที่ยกมาเป็นอุทาหรณ์สะท้อนให้เห็น “ข้อบกพร่อง” ของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ความรับผิดชอบของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และการดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่ต้องร่วมกันแก้ปัญหา โดยเฉพาะทุกวันนี้ รถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนยังคงปรากฏให้เห็นอย่างดาษดื่น บางรายเคยมีคนนำคลิปไปเผยแพร่ความเลวของเจ้าของรถที่ไม่รู้สึกละอายใจกับการละเมิดกฎหมายแต่กลับคิดเป็นเรื่องเท่ห์เย้ยกฎหมายด้วยการติดแผ่นป้าย “สงสัยให้ถาม” แทนป้ายทะเบียนที่ออกโดยกรมการขนส่งทางบก

คนที่เคยเดินทางไปท่องเที่ยวในยุโรปจะรู้จักถนนสายสำคัญในเยอรมนีที่เรียกว่า “ออโตบาห์น (Aotobhan)” เหมือนซูเปอร์ไฮเวย์ในบ้านเราหรือเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมลรัฐ (interstate route) ในสหรัฐอเมริกา ความน่าสนใจที่คนไม่รู้จริงมักพูดกันคือ “บนถนนเส้นดังกล่าวขับรถกันได้ตามใจชอบด้วยความเร็วที่ไร้ขีดจำกัด” ฟังดูอาจเหมือนบ้านเมืองเขา “ไม่มีขื่อแป” แต่จำได้ว่าผมเคยเรียนให้ทราบก่อนหน้านี้ถึง ความรับผิดชอบของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ร่วมกับทางการในฐานะผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ช่วยเหลือทางการทั้งเรื่องภาษี การทำนุบำรุงรักษาเส้นทาง การออกแบบความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน อีกทั้ง ความมีวินัย การเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัดของผู้คน และบทลงโทษที่รุนแรง “ขนาดว่าใครไปเฉี่ยวชนรถผู้อื่นแม้จะไม่มีคู่กรณีก็จะต้องทิ้งที่อยู่เบอร์ติดต่อให้ตามตัวมาชดใช้ค่าเสียหายให้ได้ไม่เช่นนั้นความผิดก็จะมีการเพิ่มโทษขึ้น”

แต่เมื่อพิจารณาย้อนกลับมายังสังคมของพวกเรา ทั้งเส้นทางการคมนาคมขนส่งที่ไม่เอื้ออำนวยให้รถความเร็วสูง หรือ รถบุกป่าฝ่าดงเข้ามาวิ่งใช้ถนนร่วมกับรถส่วนบุคคลส่วนใหญ่ แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หรือจำหน่ายรถยนต์ต่างยังคงมุ่งเน้นการขายสินค้ามากกว่าแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เพราะรถที่ออกมาจะพยายามทำให้เห็นว่ามีสมรรถนะสูงกว่าคู่แข่ง ทัศนวิสัยดีกว่า ทั้งที่ไปบดบังการมองเส้นทางของรถที่ขับตามหลัง ติดอุปกรณ์เสริม เช่น ไฟซีนอนที่แสงจ้าแยงตาสร้างความรำคาญและความขุ่นเคืองให้กับคนขับรถสวนมา ไม่สนใจเพศวัย ขณะที่ซื้อปืนยังมีการสอบประวัติ (background check) แต่ สภาวะความบกพร่องทาง “จิตใจและร่างกาย” ของคนขับขี่ยวดยานทั้งส่วนบุคคลและสาธารณะ หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไม่ค่อยใส่ใจ เราจึงเห็นการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งนำความสูญเสียอย่างมากต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเองก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้อย่างเป็นรูปธรรม ผู้ผลิตรถยนต์นอกจากขายรถให้กับผู้ซื้อก็ไม่คิดว่าจะหาทางบรรเทาเยียวยาความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุหรือควบคุมสมรรถนะ จัดหาอุปกรณ์ส่วนควบของรถให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ของสังคมที่ตนเองประกอบธุรกิจอยู่

ในเรื่องการใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดในชุมชนล้วนเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เจ้าหน้าที่เองต่างมีข้อมูลชัดเจนว่าช่วงเวลาใด บริเวณใดมีการละเมิดกฎหมายอย่างด้วยการศึกษาวิจัยเก็บข้อมูล ก็ต้องหาทางแก้ไขปัญหาเชิงรุก ในการป้องปรามและต้องไม่เพิกเฉยให้คนในสังคมลุกขึ้นใช้ “กฎส่วนบุคคล” ตัดสินปัญหากันเอง