มนุษย์มาจากไหน เป็นอะไร ไปทางไหน
มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างโดยพระเจ้ามาให้เหนือกว่าและแตกต่างจากสัตว์อื่น
มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ชนิดอื่นและเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งใน 3 พันล้านชนิดเพียงแต่มนุษย์วิวัฒนาการได้ซับซ้อนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นจนได้เป็นผู้ครอบครองโลกขณะนี้เท่านั้น
การเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของมนุษย์ในรอบ 300 ปีที่ผ่านมา ทำให้มนุษย์หลงตัวเองว่า มนุษย์เป็นนายเหนือธรรมชาติ จะพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจสังคมได้ตลอดไป ความเชื่อดังกล่าวนี้เป็นความรู้ความเข้าใจที่มนุษย์ต่างคิดและเชื่อกันเอง ไม่ใช่ความจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้
ความจริงที่มีหลักฐานพิสูจน์ยืนยันได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์คือ มนุษย์เช่นเดียวกับสัตว์ชนิดพันธุ์อื่นๆ ที่ต่างคนต่างวิวัฒนาการมาในดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกดวงนี้ในรอบ 3 พันกว่าล้านปี หลังจากเกิดมีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเกิดขึ้นในโลก มนุษย์เป็นเพียงส่วนย่อยส่วนหนึ่งของระบบธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ซับซ้อน ที่เราเพิ่งเริ่มรู้จักเข้าใจได้เพียงบางส่วน
ปัจจุบันถึงมนุษย์จะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่ามนุษย์ยุคก่อนมาก คนชั้นกลางในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งมนุษย์ 7,000 ล้านคนทั่วทั้งโลกดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการพึ่งพาระบบธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ราว 3 พันล้านชนิดพันธุ์ (Species) อย่างมาก
จากหลักฐานของฟอสซิลในยุคต่างๆ พบว่า วิวัฒนาการของมนุษย์ได้ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ มาหลายครั้ง คือ
ครั้งที่ 1 เมื่อ 5 ล้านปีที่แล้ว เมื่ออากาศเย็นลงทำให้ทวีปแอฟริกาเปลี่ยนจากป่าดงดิบเป็นป่าโปร่งและทุ่งหญ้าเพิ่มขึ้น โฮมินิดบรรพบุรุษของเราได้ตัดสินใจอพยพลงจากต้นไม้มาใช้ชีวิตในทุ่งหญ้าสวันนา ซึ่งทำให้พวกเขาหัดเดิน 2 ขาปรับตัวให้ยืนตรง ใช้แขน มือ สายตา ได้ดีขึ้น ล่าสัตว์และหนีภัยจากสัตว์ได้เพิ่มขึ้น และวิวัฒนาการทางร่างกาย สมอง และวัฒนธรรม ได้มากกว่าชิมแปนซีที่ยังคงเลือกที่จะอยู่บนต้นไม้
ราว 2.5 ล้านปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มรู้จักประดิษฐ์และใช้เครื่องมือหินยุคแรกๆ ฝนทำเป็นใบมีดหยาบๆ ใช้เฉือนชำแหละเนื้อสัตว์เพื่อใช้เป็นอาหารได้
พวกเขาคือมนุษย์ Homo Sapiens รุ่นแรกๆ มีสมองที่ใหญ่ขึ้นกว่าพวกโฮมินิด
ราว 1 ล้านปีที่แล้ว มนุษย์รู้จักใช้ขวานหิน ที่เป็นอาวุธล่าสัตว์ที่ใช้งานได้ดีเพิ่มขึ้น
ราว 5 แสนปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มรู้จักใช้ไฟ ทำหอกและเครื่องมืออื่นๆ สมองของมนุษย์ขยายใหญ่ขึ้นเพราะมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาการสื่อสารแบบการจัดการทางสังคม (จากราวกลุ่มละ 55 คน เมื่อราว 3 ล้านปีก่อน เป็นราว 150 คน เมื่อราว 1 แสนปีก่อน) กลุ่มที่มีสมาชิกราว 150 คน หรือราว 100-200 คน เป็นขนาดที่เหมาะสม สำหรับสังคมที่หากินแบบเก็บของป่า ล่าสัตว์
ราว 5 หมื่นปีที่แล้ว มนุษย์รู้จักทำเครื่องใช้และอาวุธที่ดีขึ้น วาดภาพบนฝาผนังในถ้ำ ทำเครื่องประดับและมีการฝังศพพร้อมกับเครื่องใช้เครื่องประดับ ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาทางความคิดและวัฒนธรรมที่สูงขึ้นจากยุคก่อน
มนุษย์ใช้ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย ทำอาวุธและเครื่องมือที่ดีขึ้น สร้างและควบคุมไฟได้ดีขึ้น รู้จักเขียนภาพสัตว์บนฝาผนัง ทำเครื่องประดับ และมีการฝังศพแบบมีพิธีรีตองหรือมีเครื่องประดับเพิ่มขึ้น เครื่องประดับคาดว่าใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเป็นคนกลุ่มหรือเผ่าเดียวกัน และต่อมาอาจใช้แสดงสถานะของบุคคลในกลุ่มหรือเผ่า แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ยังอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีกติกาการอยู่ร่วมกันแบบช่วยเหลือร่วมมือกันอย่างง่าย สมาชิกค่อนข้างมีความเสมอภาค
3 หมื่นปีที่แล้วมนุษย์ทำอาวุธและเครื่องมือที่ซับซ้อนขึ้น ผลิตเครื่องนุ่งห่มปกคลุมตัว ใช้กระดูกและไม้เป็นส่วนหนึ่งของที่พักอาศัย พัฒนาภาษาพูดที่ซับซ้อนขึ้น มีการขุดหลุมฝังศพและพิธีงานศพ
1.3 หมื่นปีที่แล้วมนุษย์อพยพไปอยู่แทบทุกทวีปของโลก อยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ เก็บของป่า ล่าสัตว์ หาปลา ย้ายที่บ่อย บางกลุ่มใหญ่ขึ้นเป็นชนเผ่า เริ่มมีการสะสมสิ่งของ มีกฎระเบียบ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ซับซ้อนขึ้น ต่อมาบางกลุ่มเริ่มรู้จักเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ มนุษย์กลายเป็นผู้ครองโลก เพราะได้พัฒนาความรู้ความสามารถที่จะควบคุมและใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ได้ การที่มนุษย์บางกลุ่มอพยพไปอยู่ไกลกันมาก แยกกันอยู่นานๆ หลายหมื่นปีทำให้มนุษย์แตกต่างกันด้านผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตา ภาษาวัฒนธรรม และกลายเป็นคนละเผ่าคนละพวกมากขึ้น
5,000 ปีที่แล้วหลักฐานทางโบราณคดีและอื่นๆ ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์เริ่มรวมกลุ่มขนาดใหญ่เป็นเมือง (Chiefdom) ในภูมิภาค Fertile Crescent วงโค้งแห่งความอุดมสมบูรณ์ ในตะวันออกกลางที่เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมสุเมอเรียน, โพทีเซียน และฮีบูรว์มีเมืองที่การแบ่งงานกันทำเกษตร ช่างฝีมือ พ่อค้า ทหาร ขุนนาง พระเจ้า ฯลฯ และการจัดองค์กรทางการเมืองและสังคมแบบมีผู้นำลดหลั่นกันตามลำดับชั้น เมืองบางแห่งเติบโตเป็นนครรัฐต่างๆ เกิดชนชั้นผู้ปกครองแบบเจ้านคร การจัดองค์กรทางการเมือง การทหาร และศาสนา อย่างเป็นระบบ เกิดภาษาเขียนและการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีด้านต่างๆ
300 ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน มนุษย์เริ่มพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่นำไปใช้ในการผลิตเครื่องทุ่นแรง เครื่องจักร ที่ใช้พลังงานผลิตสิ่งของได้มากขึ้น เป็นขั้นตอนของการเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรม และระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่ทำให้มนุษย์ยกระดับการผลิตอาหารและเครื่องใช้ไม้สอย พัฒนาเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัย ทำให้มนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้น (เด็กเล็กตายลดลง คนอายุยืนเพิ่มขึ้น) มีชีวิตสะดวกสบายโดยเปรียบเทียบมากขึ้น
แต่ขณะเดียวกันสังคมสมัยใหม่มีการแก่งแย่งแข่งขัน เอาเปรียบกัน และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สภาพแวดล้อมเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันทั้งเจริญขึ้น ในด้านการพัฒนาทางวัตถุ และสร้างปัญหาในด้านการทำลายความสมดุลของระบบนิเวศและระบบสังคมเพิ่มขึ้น
มนุษย์ยุคปัจจุบันมีปัญหาอย่างไร อนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร เป็นปัญหาที่ท้าทายให้ต้องขบคิดกันอย่างจริงจัง