อคติ ความลำเอียง สาเหตุสำคัญของความไร้เหตุไร้ผลไร้หลักการ

เป็นที่น่าฉงนว่าทำไมบุคคลในครอบครัวเดียวกัน เพื่อนที่คบกันมานาน หรือ คนสนิทที่คุ้นเคย ถึงต้องมาทะเลาะ ขัดแย้ง
และเกิดความแตกต่างและแตกแยกทางความคิด ทั้งๆ ที่ดูแล้วหลายคู่ก็มีพื้นฐานทางการศึกษา ประสบการณ์ในอดีตที่คล้ายๆ กัน ทำให้น่าจะมองในสิ่งต่างๆ เหมือนๆ กัน แต่เจ้าความแตกแยกทางความคิดและความเชื่อที่เกิดขึ้นนั้นมาจากที่ใด?
ไปค้นตำราด้านพฤติกรรมของบุคคลในองค์กรก็ไปพบเจอคำคำหนึ่งครับ นั้นคือคำว่า Cognitive Biases หรือที่มีคนแปลเป็นไทยในหลายๆ คำอาทิเช่น อคติ ความลำเอียง หรือ แม้กระทั่งอคติการรับรู้ ซึ่งเจ้า Cognitive Biases นั้นเป็นทั้งความผิดปกติ ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในกระบวนการคิดของเรา ซึ่งทำให้สิ่งที่เรารับรู้ มองเห็น หรือ ตัดสินใจ มีอคติ มีความลำเอียง ไม่ได้เป็นไปตามหลักการและเหตุผลอันถูกต้อง อย่างไรก็ดีเจ้า Cognitive Biases ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างครับ คือในบางสถานการณ์ก็จะทำให้เราประมวลผลข้อมูลต่างๆ ได้เร็วขึ้น และทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น เรามาลองดูกันนะครับว่าเจ้า Cognitive Biases ที่สำคัญๆ มีอะไรบ้าง และอคติ ความลำเอียง มุมมองที่แตกต่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นเพราะสาเหตุเหล่านี้ด้วยหรือเปล่า
Confirmation Bias อันนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งการขยายความแตกแยกทางความคิด โดยหลักของ Confirmation Bias นั้นก็คือเรามักจะเห็นชอบหรือเห็นด้วยกับผู้ที่มีความคิดเห็นตรงกับเรา ในขณะที่เราจะปิดกั้น ไม่รับรู้ หรือแม้กระทั่งต่อต้าน ต่อใครก็ตามที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างหรือตรงกันข้ามกับเรา แม้ว่าสิ่งที่ผู้ที่เห็นแตกต่างกับเรานำเสนอนั้นจะสมเหตุสมผล ถูกต้องตามหลักการซักเพียงใด ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวล้ำไปมากขึ้น ทำให้โอกาสในการแสดงความคิดเห็นของเรามีมากขึ้น แล้วก็ยิ่งทำให้โอกาสในการรับรู้ต่อความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้น ดังนั้น เมื่อเจ้า Confirmation Bias เกิดขึ้น ใครก็ตามที่มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับเรา จึงมักจะถูกมองเป็นฝ่ายตรงข้ามทันที
Status-Quo Bias อันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงครับ เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น เราจึงมักจะชอบเลือกในสิ่งที่ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด มนุษย์เราจะชอบทำในสิ่งที่คุ้นเคย ชอบคุยกับคนที่คุ้นเคย ชอบอยู่ร่วมกับคนที่คุ้นเคย และชอบรับประทานในอาหารที่คุ้นเคย ทำให้เรามักจะต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยต่อสิ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เราคุ้นเคย แล้วเราก็มักจะหาข้ออ้างที่ดูดีมีเหตุผลให้กับตนเองเสมอว่าอีกทางเลือกหนึ่งนั้นจะนำไปสู่สิ่งที่แย่กว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
Negativity Bias เป็นการเลือกที่จะรับรู้และให้ความสำคัญต่อข่าวร้าย หรือ สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ระบุเลยครับว่าเรามักจะคิดว่าข่าวร้ายหรือข่าวไม่ดี จะมีความสำคัญมากกว่าข่าวดี อีกทั้งเราจะมีความเชื่อถือต่อข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากว่าข่าวร้ายมักจะไปกระตุ้นความอยากรู้หรือความขี้สงสัยของคนเรามากกว่าข่าวดี ท่านผู้อ่านลองสังเกตพวกข่าวลือที่ชอบแพร่ออกมาทางสื่อสังคมออนไลน์ซิครับ แล้วเราจะพบว่าข่าวที่มีการ Share กันมากๆ นั้นมักจะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี
Bandwagon Effect เป็นอีกหนึ่งอคติที่เรามักจะเป็นโดยไม่รู้ตัว โดยทำให้เรามักจะเห็นด้วยหรือทำตามเสียงของคนหมู่มาก เมื่อคนหมู่มากเริ่มเลือกในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สมองของเราก็มักจะปิดกั้นความคิดอิสระของตนเองและเริ่มที่จะคิดเหมือนคนอื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความคิดเห็นของตนเองเลย ซึ่งกลุ่มที่เราคิดตามนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนทั้งประเทศเลย เพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆ คนในครอบครัว ซึ่งทำให้เรามักจะมีพฤติกรรมเอนเอียงตามกลุ่มคนหมู่มาก ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มีเหตุจูงใจส่วนตัวเลย อคติหรือความลำเอียงในส่วนนี้มักจะมาจากสาเหตุที่เราต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และเป็นไปตามกลุ่มคนส่วนมาก
ลักษณะของการคิดหรืออคติในการรับรู้ทั้งสี่ประการข้างต้นนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของ Cognitive Biases ทั้งหมดนะครับ แต่แค่สี่ประการข้างต้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเกิดอคติทางความคิด ทางความเชื่อ และนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล หรือ เป็นไปตามหลักการที่ควรจะเป็น
ดังนั้น เราคงไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าทำไมคนที่เรารู้จัก คุ้นเคย หรือ ดูแล้วน่าจะคิดเหมือนๆ กันเรานั้นถึงได้มีความคิดที่แตกแยกและแตกต่างกันออกไปเช่นนี้ และยิ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกล ทำให้อคติหรือความลำเอียงเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วและรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต (ทั้งๆ ที่อคติเหล่านี้ก็มีมาแต่ในอดีตมานานแล้ว) เรารับทราบอคติเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อหาทางแก้ไขอย่างเดียวนะครับ แต่ต้องหาทางป้องกันไม่ให้อคติเหล่านี้มาทำให้การตัดสินใจของเราไร้เหตุไร้ผลไร้หลักการ