สิ้นหวังได้ แต่อย่าหมดแรงหมดพลัง

หลังจากทุ่มเททุ่มพลังทำงานมายาวนาน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีเหตุให้สิ้นหวัง หมดแรง หมดพลังที่จะเดินหน้าการงานต่อไป
จะสิ้นหวังเพราะไม่มีเส้น หรือสิ้นหวังเพราะเข้าผิดเส้นก็ตาม การสิ้นหวังในการทำการงานนั้น เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะต่างคนต่างหวังความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือคาดหวังการยกย่องเชิดชูเกียรติในรูปแบบต่างๆ ถ้าเป็นแค่ไม่ได้อย่างที่คิด คงไม่เท่าใด แต่ถ้าหวังแล้วได้ตรงข้ามกับที่หวัง หรือคนอื่นกลับได้ในสิ่งที่ตัวเราหวังเอาไว้ น้อยคนนักที่จะไม่มีอาการสิ้นหวัง ที่ตามมาด้วยการหมดแรงหมดพลัง งานนั้นงานนี้ที่เคยทุ่มเทก็กลายเป็นทำแค่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ โดยบอกกับตัวเองว่าจะทำไปทำไม ปล่อยให้คนอื่นที่ได้ดีมาทำดีกว่า ถ้าจมตัวเองไปกับความสิ้นหวังนานวันเท่าใด ฝีมือในการทำงานก็หดหายตามไปเท่านั้น ดังนั้น วันใดก็ตามที่เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง เริ่มรู้สึกหมดแรงหมดพลังกับการงาน ต้องเร่งหาหนทางฟื้นฟูความหวังของตัวเองกลับคืนมาโดยไม่รีรอ
เราฟื้นฟูพลังทำการงานขึ้นได้โดยเริ่มจากการหยุดคิดว่าตัวเราเป็นเหยื่อของความไม่ชอบธรรมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนอื่นได้ดีเพราะเส้นดี ไม่ได้แปลว่ามีใครมากลั่นแกล้งให้เราไม่ได้ดีตามคนนั้น เราไม่ใช่เหยื่อของการกีดกันจากคนมีเส้น เพียงแต่เราเป็นคนที่คนมีเส้นสายไม่ใส่ใจที่จะส่งเสริมต่างหาก ถ้าเริ่มตัดใจได้แล้ว ก็ให้ลองทบทวนดูว่าที่เราหมดแรงหมดพลังนั้น เรื่องใหญ่เรื่องโตที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกสิ้นหวังของเราคือเรื่องอะไร ใครเป็นตัวการที่ทำให้รู้สึกหมดหวัง ทบทวนได้แล้วว่าอะไรเป็นอย่างไร และใครเป็นใคร ก็ให้พยายามปล่อยวางให้เป็นเรื่องที่เป็นอดีตผ่านไปแล้ว เรื่องนั้นและใครคนนั้นไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับการกล่าวหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเราพยายามมองไปให้ไกลๆ มากๆ หลายเรื่องที่มองใกล้แล้วเหมือนจะชนะขาด มองไกลไปถึงระดับหนึ่งอาจจะพบความจริงว่าเป็นแค่การเริ่มต้นของจุดจบต่างหาก การได้ทบทวนเรื่องที่เป็นต้นตอให้เราสิ้นหวังนั้น ช่วยให้เรามีใครหรืออะไรสักอย่างหนึ่งมาเป็นตัวร้ายให้เราใช้ระบายความอัดอั้นตันใจได้เป็นอย่างดี แต่ประโยชน์จากการนี้จะหมดไป หากเราไม่รู้จักหยุดคร่ำครวญกับชะตากรรมที่ทำให้เรารู้สึกสิ้นหวังเสียที
ความสิ้นหวังมักทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดแทบทุกเรื่อง ดังนั้น จึงต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรเป็นความเหนื่อยล้าที่มาจากการงาน อะไรเป็นเพียงความเหนื่อยล้าที่เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง งานใดมากเกินไปจนเหนื่อยล้า ก็หาดูว่าอะไรเป็นเหตุให้งานนั้นมีมากจนล้นกำลังของเรา อย่าลืมว่าท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น งานนิดงานหน่อยก็ดึงพลังเราไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งถ้าแยกได้ระหว่างงานที่ปริมาณเยอะจริงๆ งานที่ยากจริงๆ ออกจากงานที่เหนื่อยล้าเพราะเราปรุงขึ้นมาเองได้แล้ว ให้เดินหน้าสร้างความสำเร็จครั้งใหม่ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น โดยเลือกงานเยอะ หรืองานยากที่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงานนั้น อยู่ภายในการควบคุม หรือภายใต้เขตอิทธิพลของเราเป็นอันดับแรก งานที่แม้จะง่าย แต่ขึ้นกับปัจจัยที่อยู่นอกเหนืออิทธิพลของเราไม่ควรหยิบยกขึ้นมาทำในช่วงที่กำลังสิ้นหวังกันอยู่ เพราะพลาดพลั้งไปแล้วงานง่ายนั้นก็ไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งความหวังไว้ จะยิ่งซ้ำเติมความสิ้นหวังนั้นหนักขึ้นไปอีก
ความสิ้นหวังมักทำให้เราทำงานอย่างเปะปะไม่เป็นระบบ ดังนั้น เราจะฟื้นตัวจากความหมดหวังนั้นได้เร็วขึ้น โดยพยายามจัดเรื่องรอบตัว ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ให้เป็นระบบมากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงนี้ จะทำการงานเรื่องเล็ก เรื่องน้อยใดๆ ก็ให้กำหนดขั้นตอนโดยละเอียด งานเดิมที่เคยทำตามขั้นตอนตามใจฉัน อยากจะทำอะไร ทำเมื่อใดก็ได้ ให้สละเวลาช่วงที่กำลังหมดหวังอยู่นี้ลองหาทางสร้างระบบให้กับการงานโดยมีรายละเอียดที่มากกว่าที่เคยทำในภาวะปกติสักสิบหรือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งกลับเข้าสู่ระบบเร็วเท่าใด ความสิ้นหวังก็ทุเลาลงเร็วขึ้นแค่นั้น สร้างระบบให้กับงานที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเราก่อน แล้วค่อยขยับไปยังงานที่ต้องใช้เส้นสาย
ในระหว่างที่เพิ่งฟื้นตัวจากความสิ้นหวัง ต้องรู้จักปฏิเสธข้อเสนอ หรือการขอความช่วยเหลือในบางเรื่องออกไปเสียบ้าง ตอนที่ยังไม่มีเรื่องอะไรมากระทบให้หมดแรงหมดพลัง ใครจะเสนอให้ทำอะไร ให้ช่วยอะไร ก็เดินหน้าได้เต็มที่ แต่ถ้าต้องข่มขืนใจตนเองให้ทำงานนั้นงานนี้เพียงเพราะเพื่อตอบสนองใครบางคน ใครบางกลุ่ม จะยิ่งทำให้เราหมดเรี่ยวหมดแรงมากขึ้นไปอีก หาอะไรที่เราอยากเห็นความสำเร็จ และเราสามารถควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จนั้นได้ทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมดดีกว่า ไม่แปลกและไม่ใช่เรื่องโหดร้ายแต่ประการใด ถ้าเราจะปฏิเสธการงานที่ใครบางคนมาร้องขอให้เราทำ ให้เราช่วยในยามที่เราเพิ่งฟื้นฟูตัวเราเองจากความสิ้นหวัง
ทำงานอย่างคนไม่มีเส้นเป็นธรรมดาที่ต้องพบเจอความสิ้นหวัง แต่ขอให้หยุดแค่สิ้นหวัง อย่าปล่อยให้ความสิ้นหวังนำไปสู่การหมดแรงหมดพลังอย่างเด็ดขาด