จาก 'ประชาธิปไตย' แบบไทยๆ ถึง 'โปลิตบูโร' แบบไทยๆ

มีคนถามผมว่าเห็นพาดหัวหนังสือพิมพ์ โปลิตบูโรพิษณุโลก แล้วเกิดความงุนงงสงสัยว่าคืออะไร
ขอความกระจ่างจากผมด้วย
ผมบอกว่านั่นไม่ใช่พาดหัวของผมแน่ และเมื่อเห็นครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็เกิดความประหลาดใจ ต้องอ่านซ้ำอีกหลายครั้งก่อนที่จะถึงบางอ้อ
แต่แม้ถึง “บางอ้อ” แล้ว ก็ยังต้องต่อไปถึง “บางกระจ่าง” อีก นั่นคือต้องพยายามหาคำอธิบายให้กับตัวเองว่าความหมายจริง ๆ คืออย่างไร
เมื่อได้นั่งวิเคราะห์ไตร่ตรองแล้วก็พอจะเข้าใจว่าคำว่า “โปลิตบูโร” มาจาก Politburo ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษารัสเซียว่า Politbyuro ซึ่งย่อมาจากคำเต็มภาษารัสเซียที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็น Political Bureau
เพื่อน ๆ คนไทยที่เคยเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยเรียกคำว่านี้ “กรมการเมือง”
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเรียกกลไกสูงสุดของการบริหารประเทศนี้เต็ม ๆ ว่า The Central Politburo Standing Committee of the Communist Party of China (PSC) หรือ 中国共产党中央政治局常务委员会 หรือเรียกย่อ ๆ ว่า 政治局常委会
“โปลิตบูโร” ของจีนเคยมีกรรมการ 9 คน เพิ่งมาปรับใหม่เหลือ 7 คน เป็นกลุ่มผู้นำอำนาจสูงสุดของประเทศ สั่งการทั้งพรรค รัฐบาล และกองทัพ
ผู้นำทั้ง 7 ใน “กรมการเมือง” นี้แบ่งหน้าที่ดูแลกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ โดยมีเลขาธิการพรรคฯ คือ นายสีจิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุดทั้งในโปลิตบูโร รัฐบาล และกองทัพ
ย้อนกลับไปในรัสเซีย “โปลิตบูโร” เกิดขึ้นครั้งแรกคือการก่อตั้งพรรค “โบลเชวิค” (Bolshevik Party) ในปี ค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นกลไกของพรรคที่เป็นแกนนำอย่างต่อเนื่องระหว่างการปฏิวัติรัสเซียที่ระเบิดขึ้นในปีเดียวกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พรรคก็ยุบ “โปลิตบูโร” และตั้ง “คณะกรรมการกลางพรรค” ขึ้นมาทำหน้าที่แทน
วันนี้ ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสม์ที่ยังมี “โปลิตบูโร” ก็เห็นจะเห็นจีน, เกาหลีเหนือ, ลาว, เวียดนาม และคิวบา
ถ้าถามว่าโครงสร้างการบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ของไทยเราจะปรับเป็น “โปลิตบูโร” หลังจากมีการตั้งคณะรัฐมนตรีหรือไม่ คำตอบคงจะอยู่ในสายลม เพราะไทยไม่ได้ปกครองด้วยระบอบของจีน และก็ยังมีการชี้แจงว่า คสช. จะทำงานเคียงคู่ไปกับคณะรัฐมนตรี ไม่เหมือนโครงสร้างโปลิตบูโรของจีนที่วางตัวอยู่เหนือ ครม. ของเขาอย่างชัดเจนและเด็ดขาด
ผมเข้าใจว่าที่มีคนเปรียบ คสช. ใหม่หลังตั้ง ครม. เป็น “โปลิตบูโร” นั้นคงจะเป็นการอธิบายว่าการทำงานของ คสช. จะดูแผนใหญ่ของบ้านเมือง และกำหนดทิศทางของประเทศ ไม่ได้ลงมาบริหารวันต่อวันซึ่งเป็นหน้าที่ของ ครม. มากกว่าจะเป็นภารกิจของ คสช.
พอเอ่ยคำว่า “โปลิตบูโร” ก็ทำให้คนติดตามการเมืองระหว่างประเทศงง ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะจะทำให้เกิดภาพว่า คสช.จะกลายเป็นกลุ่มคนที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ และสั่งการทุกอย่างทุกเรื่องทุกคน ซึ่งก็คงจะไม่ใช่ภาพในทางบวกแต่อย่างใด
แต่พอมีคำว่า “พิษณุโลก” พ่วงท้าย “โปลิตบูโร” ก็ทำให้คลายความกังวลไปได้ไม่น้อย เพราะเมื่อเอ่ยถึง “บ้านพิษณุโลก” ภาพที่ปรากฏในความคิดของคนไทยทั่วไปก็จะเป็น “กลุ่มที่ปรึกษายังเติร์ก” สมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหวัณ ที่ไม่ได้มีอำนาจทางการเมือง มีเพียงอิทธิพลทางความคิดของคนรุ่นใหม่ขณะนั้นที่นักการเมืองเอาไปใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง แต่ก็มีสีสันทางการเมืองพอสมควร
ดังนั้น หาก คสช. กลายเป็น “โปลิตบูโรแห่งบ้านพิษณุโลก” ก็จะมีภาพทับซ้อนที่ชวนให้มีการวิเคราะห์ บทบาททางการเมืองของ คสช. และ ครม. ในภาวะ “ไม่ปกติ” อย่างน่าสนใจ
จะมองเป็นเรื่องจริงจังอันควรแก่การทำวิจัยอย่างลุ่มลึกในวันข้างหน้า
เพราะคำว่า “Politburo” นั้นแม้จะมีรากมาจากระบอบคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อนำมาใช้ในบริบทไทยก็หมดความขลังและความน่ากลัวลงโดยพลัน
เพราะเมืองไทย เอาของนอกอะไรมาใช้ก็ทำให้ของเดิมเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ไปหมดเกือบทุกเรื่องไม่เว้นแม้สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”
อดีตประธานเหมาเจ๋อตุง กับอดีตนายกฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ของไทยเจอกันครั้งแรกที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี ค.ศ.1975 สนทนากันเรื่องทำไมพรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงไม่ประสบความสำเร็จทั้ง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยนั้น
สรุปได้ว่าคนไทยรับอะไรของเขามา ทำเสียของหมด! (ผมสรุปของผมเอง)
เพราะคนไทยในแวดวงการเมืองสนใจกระพี้ ไม่เอาจริงกับแก่นสาร
ดังนั้นเรื่อง “โปลิตบูโรแบบไทย ๆ” หรือ “ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ” ก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่
ถือเป็นเรื่องขำ ๆ ของการเมืองไทยก็แล้วกันครับ