ที่มาของชื่อสถานที่ในกรุงปักกิ่ง

ที่มาของชื่อสถานที่ในกรุงปักกิ่ง

ปัจจุบันนี้ผู้ที่ไปเที่ยวปักกิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าที่มาที่ไปของชื่อสถานที่ต่างๆ

ในปักกิ่งเป็นอย่างไร แม้แต่คนจีนเองก็เถอะก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปเป็นส่วนใหญ่

ประวัติศาสตร์ของปักกิ่งสามารถสืบค้นกลับไปได้นานกว่า 3 พันปีโดยเริ่มต้นในสมัยราชวงศ์ซีโจว (西周) โจวอู่หวังสามารถปราบปราม ซังเอียน (商殷) ได้สำเร็จ จึงได้แต่งตั้งให้มีเจ้าผู้ครองเมืองในสถานที่ที่เป็นปักกิ่งในปัจจุบัน เรียกว่า จี้ (蓟) เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ในสมัยปลายราชวงศ์ถัง อันลู่ซัน (安禄山) และสื่อซือหมิง (史思明) เป็นกบฏ สื่อซือหมิงตั้งตนเป็นเจ้าผู้ครองเมืองสถานที่ที่เป็นปักกิ่งปัจจุบันเรียกว่า เอียนจิง (燕京) แม้แต่ปัจจุบันนี้ยังมีมหาวิทยาลัยชื่อ 燕京大学

ปักกิ่งยังมีชื่ออื่นๆ อีกกว่า 20 ชื่อ ในสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ (北宋) ประเทศที่เป็นคู่ปรับทางเหนือคือ เหลียวกั๋ว (辽国) ได้ใช้สถานที่ที่เป็นปักกิ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงรองชื่อว่า หนานจิง (南京) ซึ่งแปลว่า เมืองหลวงทางใต้ เนื่องจากเมืองนี้อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงหลักของประเทศเหลียวนั่นเอง ในสมัยประเทศจิน (金国) เรืองอำนาจ เรียกปักกิ่งว่า จงตู (中都) ราชวงศ์เหวียนเรียกปักกิ่งว่า ต้าตู (大都)

ในสมัยราชวงศ์หมิง พระจักรพรรดิพระองค์แรก จูเหวียนจาง (朱元璋) ได้แต่งตั้งพระราชโอรสต่างๆ ไปครองเมืองสำคัญ จูตี้ (朱棣) ซึ่งภายหลังเป็นพระจักรพรรดิองค์ที่สามได้รับมอบหมายให้ครองเมืองเป่ยผิง (北平) อันเป็นปักกิ่งปัจจุบัน ชื่อเป่ยผิงได้รับพระราชทานจากจูเหวียนจาง ตอนที่แม่ทัพสวีต้า ปราบปรามเมืองนี้ได้สำเร็จ ในสมัยนั้นเมืองหลวงอยู่ที่หนานจิง พระเจ้าเจี้ยนเหวินตี้ โอรสของพระราชโอรสองค์โตของจูเหวียนจางได้ครองราชย์ต่อจากจูเหวียนจางและได้รับคำแนะนำจากขุนนางให้พยายามสลายอำนาจของพระราชโอรสจูเหวียนจางองค์อื่นๆ จูตี้ทรงกริ้วจึงได้ปราบปรามหลานและปราบดาภิเษกเป็นพระจักรพรรดิองค์ที่สามแห่งราชวงศ์หมิงและย้ายเมืองหลวงจากหนานจิงไปยังเป่ยผิง และเปลี่ยนชื่อเป็นปักกิ่ง (北京) ซึ่งแปลว่า เมืองหลวงทางเหนือตั้งแต่นั้นมา ในสมัยราชวงศ์ชิงก็ยังคงใช้ชื่อปักกิ่งเช่นเดียวกัน

เมื่อจีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐและตั้งเมืองหลวงที่หนานจิง ผู้คนในรัฐบาลเห็นว่าปักกิ่งจะแข่งบารมีกับหนานจิง จึงให้เปลี่ยนชื่อเป็นเป่ยผิง จนกระทั่งสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนขึ้นในปี 1949 และใช้ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นปักกิ่งเหมือนเดิม

สถานที่ในปักกิ่งที่นักท่องเที่ยวขาดเสียไม่ได้คือ พระราชวังเดิม หรือ 故宫 ในภาษาจีน นี่คือชื่อที่เรียกกันในสมัยนี้ ในสมัยของราชวงศ์ชิง เรียกว่า พระราชวังต้องห้าม หรือ 紫禁城 คำว่า 紫 หมายถึง 紫微星 ซึ่งเป็นชื่อของดาวบนท้องฟ้าที่มีดวงดาวล้อมรอบอันเทียบเคียงได้กับพระจักรพรรดิที่มีขุนนางล้อมรอบ อันเป็นหลักคิดที่ถือว่าพระจักรพรรดิสืบเชื้อสายจากเทวดาบนท้องฟ้า ส่วนคำว่า 禁 แปลว่าต้องห้าม ตามศัพท์อันหมายถึงสถานที่ไม่อาจกร้ำกรายเข้าไปได้ตามอำเภอใจ

ถ้าหากนักท่องเที่ยวเดินทางภายในตัวเมืองปักกิ่งด้วยตนเอง จะเริ่มสังเกตเห็นชื่อสถานที่ต่างๆ ในปักกิ่งที่ลงท้ายด้วย 门 อันแปลว่า ประตูเมือง ในอดีตปักกิ่งมีกำแพงเมืองล้อมรอบพระราชวังอีกชั้นหนึ่ง พื้นที่ภายในกำแพงเมืองกับกำแพงพระราชวังจะอนุญาตเฉพาะผู้มีเชื้อสายแมนจู ส่วนพวกเชื้อสายฮั่นต้องอยู่นอกกำแพงเมือง ชื่อสถานที่ที่ลงท้ายด้วยคำว่า ประตู จะมีประตูเมืองอยู่จริงๆ ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันนี้ถูกรื้อทิ้งไปเกือบหมดเหลือเพียง 2 ประตู คือ เต๋อเซิ่งเหมิน 德胜门 เต๋อเซิ่ง ฟังเผินๆ เหมือนกับแปลว่าได้ชัยชนะ หรือ 得胜 ในภาษาจีน 德 กับ 得 เป็นคำพ้องเสียงแต่ความหมายต่างกัน สาเหตุที่ใช้คำว่า 德 เพื่อเน้นย้ำว่า พระจักรพรรดิจะต้องได้ชัยชนะด้วยคุณธรรมหรือ 德 ในภาษาจีน นั่นเอง อีกประตูหนึ่งคือ เฉียนเหมิน 前门 ซึ่งแปลงว่าประตูหน้า ประตูอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่ เฉาหยางเหมิน (朝阳门) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แปลว่าประตูที่หันสู่พระอาทิตย์ ประตูนี้ใช้สำหรับการขนเข้าเสบียงอาหารที่มาจากทางใต้เป็นส่วนใหญ่ ตงจื้อเหมิน (东直门) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้สำหรับการขนเข้าไม้และกระเบื้อง

เมื่อสังเกตชื่อสถานที่ต่อไปจะพบคำว่า 营 (อี๋ง) กับ 屯 (ถุน) ซึ่งแปลว่า ค่ายทหาร และคำว่า 坟 (เฝิน) ซึ่งแปลว่า หลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ย 公主坟 เป็นชื่อสถานที่หนึ่งในปักกิ่งที่มีนิยายเล่ากันว่า พระจักรพรรดิเฉียนหลงเสร็จประพาสเป็นการส่วนพระองค์และตกน้ำ ได้รับการช่วยเหลือจากหญิงสาวคนหนึ่ง จึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและนำมาอยู่ในวัง แต่หญิงสาวทนกฎระเบียบในวังไม่ได้จึงตรอมใจตาย เมื่อนักเขียนนิยายชาวไต้หวัน 琼瑶 มาเที่ยวปักกิ่งได้ฟังนิยายเรื่องนี้ จึงนำไปแปลงเรื่องเป็นว่า หญิงสาวนี้ได้พบรักในวังอย่างมีความสุขชื่อเรื่องว่า 还珠格格 (หวนจูเก๋อเก๋อ) ภายหลังกลายเป็นละครโทรทัศน์ที่ชื่นชอบกันในเมืองจีน เรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งบอกว่า พระจักรพรรดิเจียซิ่งมีพระธิดา 2 องค์ องค์ที่ 3 และ 4 เสียชีวิตตามๆ กัน และนำไปฝังไว้นอกพระราชวังตามกฎมณเฑียรบาล จึงเรียกที่นั้นว่า 公主坟

王府井 หรือ หวังฝูจิ่ง เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกัน คำว่า 王 ในที่นี้แปลว่า ราชวงศ์ 府 แปลว่า วัง 井 แปลว่า บ่อน้ำ รวมความแปลว่า บ่อน้ำของวังเจ้านาย ประวัติศาสตร์บอกว่า 朱棣 หรือพระจักรพรรดิหย่งเล่อ (พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง) ได้สร้างวังสำหรับราชวงศ์ 10 องค์ในปักกิ่ง ตามอย่างวังในหนานจิง ซึ่งมีขนาดใหญ่มากถึงกว่า 9,000 ห้อง แต่ไม่มีคนอยู่ ถนนที่อยู่หน้าวังจึงเรียกว่า 十王府่大街 หรือ สือหวังฝู่ต้าเจีย พอมาถึงราชวงศ์ชิง ราชวงศ์มีเพียง 8 องค์ จึงเปลี่ยนเป็น 王府่大街 โดยตัดคำ 十 ซึ่งแปลงว่าสิบออก ตอนหลังมีการทำถนนใหม่หน้าวังจึงได้ขุดบ่อน้ำด้วย แต่บ่อน้ำนี้อยู่นอกวังไม่ใช่ในวัง ชื่อถนนจึงเปลี่ยนไปเป็น 王府井大街

ถนนอีกสายหนึ่งในปักกิ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมคือ 琉璃厂大街 หรือ หลิวลี่ฉั่งต้าเจีย ตั้งอยู่นอกประตูหือผิงเหมิน (和平门) บริเวณนี้เป็นย่านที่เผากระเบื้องหลังคาและกระเบื้องลวดลายประดับต่างๆ ของพระราชวังในสมัยราชวงศ์หยวนและหมิง ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ชิงเป็นต้นมา เริ่มเป็นที่รวบรวมหนังสือภาพเขียน ลายมือภู่กันจีน และโบราณวัตถุ บุคคลผู้มีชื่อเสียงในต้นสมัยสาธารณรัฐจีน ได้แก่ ฉีไป๋สือ (齐白石) จางต้าเชียน (张大千) เหมยหลันฟาง (梅兰芳) หลู่ซวิ่น (鲁迅) สวีเปยหง (徐悲鸿) ล้วนแต่เข้าออกถนนสายนี้กันเป็นประจำ เพื่อหาซื้อหนังสือและวัตถุทางวัฒนธรรมอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับฝากขายภาพเขียนสำหรับศิลปินอีกด้วย ว่ากันว่า 琉璃厂 ในปัจจุบันมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยพระจักรพรรดิคังซี หรือ ค.ศ. 1679 ปักกิ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวจนมีคนตายไปหลายร้อยคน ร้านหนังสือสมัยนั้นที่ตั้งอยู่บริเวณก่วงอันเหมิน (广安门) พังทลายไป จึงต้องย้ายมาที่หลิวลี่ฉั่ง ต่อมาปริมาณหนังสือได้ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ ก็สั่งซื้อหนังสือจากที่นี่

บริเวณที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งได้แก่ 中关村 หรือจงกวนชุนอันเป็นที่ตั้งอุทยานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน แรกเริ่มเดิมทีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ 10-20 ครัวเรือนและมีฮวงซุ้ยของพวกขันทีอยู่ บริเวณนั้นเรียกว่า 中官 อันเป็นคำที่ใช้เรียกขันทีในสมัยนั้น ซึ่งพ้องเสียงกับ 中关 กล่าวกันว่า ขันทีส่วนใหญ่น่าสงสารเพราะมาจากครอบครัวยากจนที่พ่อแม่ขายออกไป พอแก่ตัวไม่มีลูกหลานดูแล ก็ต้องไปรับใช้ขันทีที่มีฐานะหรือไม่ก็ช่วยชาวบ้านดูแลฮวงซุ้ยหรือเซ่นไหว้บรรพบุรุษแทน สันนิษฐานกันว่า 中官 กลายเป็น 中关 ในสมัยที่ตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ ผู้ที่เขียนที่อยู่ใช้คำผิดไป ชื่อจึงเปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา

คำเกี่ยวกับชื่อสถานที่ที่สงสัยกันยังมีอีก 3 คำได้แก่ 街 巷 胡同 (อ่านว่า “เจีย” “เซี่ยง” “หูถง”) ที่มาของคำเหล่านี้มาจากระบบชุมชนของจีนที่เรียกว่า 里坊制 (หลี่ฝางจื้อ) ถนนใหญ่เรียกว่า 街 และ 巷 เป็นถนนส่วนที่แยกจาก 街 เข้าไปเป็นชุมชนที่เรียกว่า 里 หรือ 坊 และ 胡同 คือถนนที่แยกจาก 巷 ออกไปอีกทีหนึ่ง ตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง (宋) เป็นต้นมา ความแตกต่างระหว่าง 巷 กับ 胡同 เริ่มหมดไปโดยต่างแยกออกมาจาก 街 เหมือนกัน แต่สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ 胡同 มักเป็นที่อยู่ของคนที่มีอาชีพเดียวกันมาแต่โบราณ ทั้งนี้ เพื่อให้ทางราชการมีความสะดวกในการเก็บภาษี

ตัวอย่างชื่อสถานที่ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ การใช้คำพ้องเสียงเพื่อเปลี่ยนชื่อสถานที่จากความหมายที่ไม่ดีเป็นดี เช่น 光彩胡同 (กวงไฉ่หูถง) ในอดีตบริเวณนั้นเป็นสถานที่เก็บดินปืน ครั้งหนึ่งเกิดการระเบิดขึ้นทำให้คนตายไปหลายร้อยคนและมีโลงศพ (棺材) ระเกะระกะเต็มไปหมด ภายหลังจึงเรียกว่า 棺材胡同 (กวนไฉหูถง) ผู้คนรู้สึกชื่อไม่เป็นมงคล จึงเปลี่ยนเป็น 光彩胡同 แปลว่าสว่างไสว ชื่ออื่นๆ ในทำนองคล้ายกันมี 灵济宫 (หลิงจี้กง) ซึ่งแปลว่า ศาลเจ้าหลิงจี้ เปลี่ยนเป็น 灵境胡同 (หลิงจิ่งหูถง แต่แปลว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์) 鸡爪胡同 (จีจั่วหูถง แปลว่า ขาไก่) เปลี่ยนเป็น 鸡罩胡同 (จีเจ้าหูถง แปลว่า สุ่มไก่) และเปลี่ยนเป็น 吉兆胡同 (จี๋เจ้าหูถง แปลงว่า นิมิตหมายที่ดี) ในที่สุด 屎壳郎胡同 (สื่อเคอะลั่งหูถง แปลงว่า ด้วงขี้ควาย) เปลี่ยนเป็น 时刻亮胡同 (สือเคอะเลี่ยง แปลว่า สว่างไสวทุกเวลานาที) 鬼街 (กุ่ยเจีย แปลว่า ถนนผี) เปลี่ยนเป็น 簋街 (กุ่ยเจียแปลว่าโถอาหาร)

ที่มาของชื่อสถานที่มีประวัติศาสตร์ การรักษาชื่อสถานที่หรือการเปลี่ยนไปใช้คำพ้องเสียงที่ความหมายดี ย่อมทำให้ผู้คนยังรำลึกถึงประวัติศาสตร์ เข้าใจสภาพสังคมและความเปลี่ยนแปลงของสังคม และ ทำให้รักสังคมประเทศชาติ

ที่มา: 中央电视台 《文明之旅》栏目

王越: 北京地理学会秘书长《跟着地名品北京》