ภูฏาน : นิยามแห่ง"ดัชนีความสุข"
ผมไปภูฏานครั้งนี้เพื่อแสวงหาคำนิยามของ ความสุข ในดินแดนที่อยู่อ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย
และได้คำตอบเกือบจะตรงกัน ว่าเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ ไม่ใช่เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ต้องมี “ดัชนีความสุข” เป็นตัววัดที่สำคัญด้วย
ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ ทางเหนือคือ ทิเบตของจีน และทางใต้คืออินเดีย เท่ากับวางอยู่ตรงกลางระหว่างสองยักษ์ใหญ่ของโลก
ประชากรเพียง 750,000 คนของประเทศนี้ เพิ่งได้รับโอกาสเลือกตั้งผู้แทนของตัวเองมาไม่กี่ปีนี้เองเพราะกษัตริย์องค์ที่ 4 Jigme Singye Wangchuk สละราชสมบัติเมื่อเดือนธันวาคมปี ค.ศ.2006 ให้ราชโอรส Jigme Khesar Namgyel Wangchuk ขึ้นครองราชย์แทน
พร้อมกับมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ เพื่อให้ประชาชนเลือกตั้งรัฐสภา และรัฐบาลของตนเองในปีต่อมา
ประชาธิปไตยคู่ขนานกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” ในรูปแบบของ Gross National Happiness (GNH)แทนที่จะเป็น Gross National Product (GNP)
ประเทศอื่น ๆ ทั้งหลายวัดการพัฒนาประเทศด้วยอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า GNP หรือ GDP อันหมายถึง “ผลผลิตมวลรวม” แต่ผู้นำภูฏานมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญทางการเมือง พอที่จะประเมินความสำเร็จหรือล้มเหลวด้วย “ดัชนีความสุข”
และเขียนระบุ GNH ไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 9 และมาตรา 20 ชัดเจน
Article 9 - Principles of State Policy: "The State shall strive to promote those conditions that will enable the pursuit of Gross National Happiness."
Article 20 - The Executive: "The Government shall protect and strengthen the sovereignty of the Kingdom, provide good governance, and ensure peace, security, well-being and happiness of the people."
ซึ่งเน้นคำว่า “ความสุขของประชาชน” เป็นหลักแห่งการปกครองประเทศ
อีกทั้งยังเขียนไว้ชัดเจนว่าป่าไม้จะต้องมีอย่างน้อย 60% ของที่ดินทั้งประเทศ
และกำหนดให้การบริหารประเทศยึดอยู่บน 4 เสาหลักคือ
1.ความสุขของประชาชน
2.รักษาสิ่งแวดล้อม
3.อนุรักษ์วัฒนธรรม
4.ธรรมาภิบาล
ผมพบปะผู้คนที่เมืองหลวงทิมพู, พาโร และพูนาคา ตามเส้นทางของการเดินทางก็ตั้งคำถามเดียวกันหมดว่า “ความสุขคืออะไรสำหรับคุณ?”
ไม่ว่าจะเป็นคนอาชีพอะไร จะตอบคล้าย ๆ กันว่า “ความสุขคือการแบ่งปัน และการทำให้คนอื่นมีความสุข”
หลายคนบอกผมว่านิยามของความสุขไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง หากแต่อยู่ที่ “ชุมชนและสังคมส่วนรวม”
เขาเอารายได้จากการออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวมาอุดหนุนการศึกษา และรักษาพยาบาลฟรีให้กับประชาชน และให้นักท่องเที่ยวที่ถูกกำหนดให้ต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าวันละ 250 ดอลลาร์ต่อวันต่อคนว่า ผู้มาเยือนมีส่วนช่วยเหลือการสร้าง “ความสุข” ให้กับประชาชนชาวภูฏาน
และนักท่องเที่ยวจะต้องช่วยกันปกปักรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของประเทศนี้ เพื่อจะได้จรรโลงให้ยั่งยืนต่อไป
แน่นอนว่าวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มคืบคลานเข้ามาภูฏานอย่างหลีกหนีไม่พ้น แต่เดิมที่มีข้อห้ามนำบุหรี่และยาสูบเข้าประเทศ อีกทั้งห้ามใช้ถุงพลาสติกเพื่อรักษาธรรมชาติ แต่ก็เริ่มจะมีให้เห็นแล้วเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
“เราอยากได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่ต้องการแบบฮิปปี้หรือแบกเป้ จึงได้กำหนดค่าใช้จ่ายขั้นต่ำเอาไว้” มัคคุเทศก์คนหนึ่งบอกผม
ถนนหนทางและบ้านเมืองของภูฏานยังสะอาดสะอ้าน ผู้คนยิ้มแย้มเป็นกันเอง และพร้อมจะสนทนากับผู้มาเยือนอย่างไม่เคอะเขิน
ภาษาท้องถิ่นคือ “ซองคา” (Dzongkha) แต่หลักสูตรตั้งแต่ชั้นประถมสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ดังนั้นคนภูฏานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี
รายได้กว่า 50% ของประเทศมาจากการขายไฟฟ้าพลังน้ำให้กับอินเดีย และการท่องเที่ยวคือที่มาของรายได้อันดับสอง ดังนั้นการรักษาให้เทือกเขา สายน้ำ และรอยยิ้ม กับ “ดัชนีความสุข” จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับ “แดนมังกรสายฟ้า” แห่งนี้
ผมไปสัมผัสกับภูฏานในบรรยากาศต่าง ๆ อย่างไร ติดตามได้ในรายการ “ไทม์ไลน์สุทธิชัย หยุ่น” ทาง Nation TV 1 ทุ่มค่ำวันอาทิตย์นี้ครับ