ปิโตรเลียมจะหมดในอีก 6 - 7 ปี หมายความว่าอย่างไร?

ปิโตรเลียมจะหมดในอีก 6 - 7 ปี หมายความว่าอย่างไร?

กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้งสำหรับเรื่องปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่ภาครัฐและหน่วยงานด้านพลังงานรายงานว่า...

ปริมาณสำรองปิโตรเลียมในประเทศจะหมดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็มีกระแสความไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยกับรายงานดังกล่าว ที่ไม่เชื่อว่าภาครัฐพูดความจริง เพราะบางส่วนอ้างว่ารัฐเคยรายงานว่า 10 ปีจะหมดแต่พอเวลาผ่านไป 10 ปีทำไมยังไม่หมด หรือใช้ข้อมูลจากแหล่งน้ำมันเพียงแห่งหนึ่งในประเทศไทยแล้วนำเสนอว่ายังมีสำรองน้ำมันยาวนานถึง 30 ปี เป็นต้น

ความหมายของปริมาณสำรองปิโตรเลียมนั้นผมได้เคยเขียนบทความเรื่องนี้อย่างละเอียดในคอลัมน์พลังงานเพื่อความยั่งยืนของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจแล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2557 ผู้ที่สนใจสามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของกรุงเทพธุรกิจนะครับ ผมจะขอสรุปสั้นๆ ดังนี้

“ปริมาณสำรองปิโตรเลียม” ตามมาตรฐานสากลของ Petroleum Resources Management System (PRMS) คือ ปริมาณปิโตรเลียมที่เหลืออยู่ในแหล่งปิโตรเลียมที่ถูกค้นพบแล้วโดยสามารถผลิตได้ด้วยแผนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมอย่างคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจและกฎระเบียบที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน" จากคำนิยามจะเห็นได้ว่าการจะนับเป็นปริมาณสำรองต้องประกอบด้วยเงื่อนไขสำคัญ 4 ประการ คือ 1) ถูกค้นพบแล้ว 2) สามารถผลิตได้ 3) คุ้มค่าเชิงพาณิชย์หรือคุ้มทุน 4) มีแผนพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมแล้วรวมถึงแหล่งที่มีแผนจะพัฒนาภายใน 5 ปีดังนั้นปริมาณปิโตรเลียมที่ยังสำรวจไม่พบหรือพบแล้วผลิตไม่ได้หรือ ผลิตได้แต่ไม่คุ้มค่า เราจะนับเป็นปริมาณสำรองไม่ได้

ปริมาณสำรองที่ทุกๆ ประเทศทั่วโลกนำมารายงานเป็นที่อ้างอิงไม่ว่าจะเป็น U.S. Energy Information Administration (EIA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา รายงานประจำปีของกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือกลุ่มโอเปก (OPEC) รายงาน BP Statistical Review of World Energy (BPstats) ของบริษัท บริติช ปิโตรเลียม (BP) ประเทศอังกฤษ และรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ของประเทศต่างๆ ล้วนแต่เป็น “ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว (Proved Reserves)” คือปริมาณสำรองที่มีการเจาะพิสูจน์เห็นขอบเขตของแหล่งปิโตรเลียมภายใต้เงื่อนไขทั้ง 4 ประการดังที่ได้กล่าวไว้ โดยมีความมั่นใจถึง 90% จึงเป็นปริมาณที่มีความแน่นอนสูง

การคำนวณว่าปริมาณสำรองเหลือกี่ปีเขาคำนวณกันอย่างไร? ในวงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมนั้น เป็นที่เข้าใจกันโดยสากลว่า ปริมาณสำรองที่เหลืออยู่จะใช้วิธีการคำนวณที่เรียกว่า “R/P” (Reserves-to-Production Ratio) วิธีคำนวณง่ายๆ คือ เอาปริมาณสำรองมาหารปริมาณการผลิตรายปีตรงๆ นั่นแหละครับ โดยทั้งปริมาณสำรองและการผลิตเป็นข้อมูล ณ เวลาเดียวกัน เช่น ณ สิ้นปี พ.ศ. 2556 เป็นต้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือจำนวนปีของปริมาณสำรองคงเหลือเช่นเดียวกับคำนิยามที่อยู่ในรายงานของ BPstats ขณะเดียวกันหากมีการลงทุนสำรวจหรือพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อหาปริมาณสำรองเพิ่มเติมในอนาคตก็สามารถทำให้ R/P เพิ่มขึ้นได้

ผมยกตัวอย่างจากรายงานประจำปีของ BPstats ณ สิ้นปี พ.ศ. 2556 ที่รายงานว่าน้ำมันจะหมดโลกใน 53 ปี (R/P) การคำนวณของ BPstats ก็คือนำปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วรวมทั้งโลกประมาณ 1.7 ล้านล้านบาร์เรล หารด้วยปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกเฉลี่ย 86.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือราวๆ 31,650 ล้านบาร์เรลต่อปี ก็จะได้ประมาณ 53 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขภาพรวมของทั้งโลก หากถามว่าทุกประเทศจะมีเหลือ 53 ปีเหมือนกันทั้งโลกหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เช่นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลกอย่างประเทศเวเนซุเอลา มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์แล้วถึง 297,600 ล้านบาร์เรล ถ้าคิดจากปริมาณการผลิตของประเทศเวเนซุเอลาที่ 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 950 ล้านบาร์เรลต่อปี ก็จะเหลือปริมาณสำรองน้ำมันดิบยาวนานถึง 310 ปีเลยทีเดียวนอกจากนี้ในรายงานของ BPstats จะมีรายงานตัวเลข R/P ของแต่ละประเทศรวมถึงประเทศไทยอีกด้วยจากรายงานพบว่าประเทศเวเนซุเอลามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากกว่าไทยถึง 660 เท่า !!!

กลับมามองประเทศไทยที่เรามักจะไม่ค่อยพูดถึง R/P ของปริมาณสำรองน้ำมันดิบเพราะส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า 85% ของความต้องการประเทศ หากคำนวณด้วยปริมาณการผลิตในประเทศจะมีสำรองน้ำมันดิบเหลืออยู่ประมาณ 4-5 ปีเท่านั้นแต่ก็ยังรักษาตัวเลขราวๆ นี้มาหลายปีเพราะมีการลงทุนสำรวจและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อหาปริมาณสำรองน้ำมันดิบมาทดแทนที่ผลิตไปอย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันเรื่องที่น่าเป็นห่วงกลับเป็นปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะระยะหลังมีการค้นพบปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติจากแหล่งใหม่ๆ น้อยมากขณะที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น หรือหาไม่ทันใช้นั่นเองจากที่เคยมีถึง 20 ปีจนปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 6-7 ปีเท่านั้น เป็นสาเหตุให้รัฐจำเป็นต้องเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ให้เอกชนเข้ามาลงทุนสำรวจหาปริมาณสำรองเพิ่มเติมก่อนที่ประเทศจะขาดแคลนสำรองก๊าซธรรมชาติ

ตัวเลข 6-7 ปีนี้มายังไง? วิธีคิดก็ใช้หลัก R/P ที่ผมกล่าวเอาไว้ ก็คือคำนวณ ณ สิ้นปี พ.ศ. 2556 จากปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่พิสูจน์แล้ว 8.41 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หารด้วยปริมาณการผลิตทั้งปีจากอัตราการผลิตเฉลี่ยประมาณ 4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ก็จะเหลือประมาณ 6 ปี (หรือ 6.8 ปีจากรายงานของ BP) ตัวเลข 6-7 ปีนี้ เป็นตัวเลขรวมปริมาณสำรองและการผลิตก๊าซธรรมชาติจากทุกแหล่งในประเทศหากแยกย่อยในแต่ละแหล่งก็ขึ้นอยู่กับปริมาณสำรองหรืออัตราการผลิตของแต่ละแหล่ง บางแหล่งที่อัตราการผลิตสูงอาจจะเหลือ 3-4 ปีต้องเร่งสำรวจหาเพิ่มในกระเปาะอื่นๆ บางแหล่งอาจจะยาวถึง 30 ปีเนื่องจากอัตราการผลิตต่ำดังที่ผมยกตัวอย่างกรณีสำรองน้ำมันดิบ (R/P) ของทั้งโลกมีอยู่ 53 ปีขณะที่เวเนซุเอลามีสำรองน้ำมันดิบถึง 310 ปี ขึ้นอยู่กับปริมาณสำรองและอัตราการผลิตของประเทศนั้นๆ ดังนั้น หากหยุดการสำรวจหาแหล่งใหม่ๆ มาเติมจนปริมาณสำรองใกล้จะหมด ก็จะไม่สามารถรักษากำลังการผลิตในประเทศที่ระดับเดิมได้ อัตราการผลิตก็จะลดลงไปเรื่อยๆ

การนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาใช้ด้วยความไม่เข้าใจและทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเรามีปริมาณสำรองปิโตรเลียมมหาศาลยาวนานหลายสิบปีโดยไม่คำนึงถึงปริมาณการผลิตเทียบกับความต้องการใช้ของประเทศนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างยิ่ง หากมีการผลักดันนโยบายภายใต้สมมติฐานที่คลาดเคลื่อนว่าเรามีสำรองปิโตรเลียมมหาศาลทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเรามีน้อยอาจทำให้การลงทุนสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ หยุดชะงักจนส่งผลให้อัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศลดลงเรื่อยๆ และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาทดแทนมากขึ้นเรื่อยๆ เราคงได้เห็นค่าไฟฟ้าที่แพงกว่านี้เกือบเท่าตัวในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน...