ข้อพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายจำนองที่แก้ไขใหม่

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายค้ำประกันและกฎหมายจำนองที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์ไป
ในบางส่วนแล้วในบทความฉบับก่อนนี้ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการค้ำประกันและการจำนองได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้วเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ซึ่งการนับวันที่มีผลใช้บังคับของกฎหมายนั้น กรณีที่กฎหมายใช้ถ้อยคำว่า “นับแต่วันที่ประกาศ” หมายความว่า การนับวันที่หนึ่งนั้นจะต้องนับรวมวันที่ประกาศคือ วันที่ 13 พ.ย. ด้วย) ซึ่งก็คือ ในวันที่ 11 ก.พ.2558 ส่วนกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีผลกระทบต่อสัญญาที่ได้ทำไปแล้วก่อนวันดังกล่าวมากน้อยเพียงใดนั้น ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตไว้เบื้องต้นในบทความเรื่องสาระสำคัญของกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการค้ำประกันและการจำนองก่อนหน้านี้แล้ว
สำหรับข้อพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายจำนองที่แก้ไขใหม่นั้นมีหลักการคล้ายกับการค้ำประกันคือกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีลักษณะที่คุ้มครองสิทธิและให้ความเป็นธรรมกับผู้จำนองซึ่งไม่ใช่ตัวลูกหนี้มากขึ้น โดยทั่วไปความคุ้มครองที่กฎหมายให้กับผู้จำนองจะคล้ายกับการค้ำประกัน ซึ่งบางเรื่องกฎหมายจำนองก็ให้นำเอาบทบัญญัติในเรื่องการค้ำประกันมาใช้กับการจำนองด้วยโดยอนุโลม เช่น การตกลงผ่อนเวลาการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด เว้นแต่ผู้ค้ำประกันจะตกลงกับการผ่อนเวลาด้วยแต่ข้อตกลงดังกล่าวห้ามทำไว้ล่วงหน้า มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีการกำหนดระยะเวลาการบอกกล่าวก่อนการบังคับจำนองโดยเจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 60 วัน หากลูกหนี้ไม่ชำระ เจ้าหนี้จึงจะบังคับจำนองได้ ซึ่งเดิมทีกฎหมายกำหนดไว้เพียงว่าการบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้จะต้องกำหนดระยะเวลาอันสมควร ซึ่งทำให้เกิดปัญหาและข้อถกเถียงในทางปฏิบัติว่าระยะเวลาเท่าใดจึงจะถือว่าเหมาะสม
อีกบทบัญญัติหนึ่งที่อาจมีผลกระทบต่อสัญญาจำนองมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบันก็คือ มาตรา 727/1 ซึ่งกำหนดให้ข้อตกลงที่ให้ผู้จำนองซึ่งจำนองทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้ของบุคคลอื่นต้องรับผิดเกินราคาทรัพย์สินที่จำนองเป็นโมฆะ และข้อตกลงที่ทำให้ผู้จำนองต้องรับผิดอย่างผู้ค้ำประกันข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ไม่ว่าข้อตกลงนั้นจะมีอยู่ในสัญญาจำนองหรือทำเป็นข้อตกลงต่างหาก จะเห็นได้ว่าข้อกฎหมายในข้อนี้กำหนดไว้ชัดว่ากรณีที่ห้ามตกลงให้รับผิดเกินราคาทรัพย์สินที่จำนองใช้กับเฉพาะผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกเท่านั้น ดังนั้น หากผู้จำนองเป็นลูกหนี้ชั้นต้นอยู่แล้วก็อาจจะกำหนดให้ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่ได้ โดยถือว่าเป็นการตกลงยกเว้นมาตรา 733 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าถ้านำทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดแล้วได้เงินน้อยกว่าหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาโดยตลอดว่าข้อตกลงยกเว้นมาตรา 733 ไม่ถือเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยจึงใช้บังคับได้
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติอาจมีข้อสงสัยว่าข้อห้ามตามมาตรา 727/1 จะถึงขนาดมีผลทำให้ผู้จำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถเป็นผู้ค้ำประกันด้วยเลยหรือไม่ เช่น หากบริษัทแม่มีทั้งที่ดินที่จะนำมาเป็นหลักประกันให้กับหนี้ของบริษัทลูก และบริษัทแม่ก็ตกลงที่จะเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ด้วยจะได้หรือไม่ ผู้เขียนมีความเห็นว่า มาตรา 727/1 คงไม่ได้มีเจตนารมณ์ห้ามมิให้บุคคลเป็นผู้จำนองกับผู้ค้ำประกันในเวลาเดียวกัน กฎหมายคงเพียงแต่ประสงค์ว่าไม่อยากให้ผู้จำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะต้องร่วมรับผิดไปกับลูกหนี้เสมือนเป็นลูกหนี้เสียเอง โดยที่ผู้จำนองไม่ได้รู้ถึงขอบเขตความรับผิดของตนโดยชัดเจนเนื่องจากข้อความรับผิดซ่อนอยู่ในสัญญาจำนอง อีกทั้งตามกฎหมายผู้ค้ำประกันและผู้จำนองมีสิทธิ และความรับผิดแตกต่างกันอยู่บางประการ เช่น ผู้จำนองยังคงต้องมีความรับผิดตามสัญญาจำนองอยู่แม้ว่าหนี้ประธานขาดอายุความแล้ว แต่จะบังคับดอกเบี้ยเกินกว่าห้าปีไม่ได้ ในขณะที่ผู้ค้ำประกันอาจยกข้อต่อสู้ว่าหนี้ประธานขาดอายุความมาเป็นข้อต่อสู้ให้ไม่ต้องรับผิดได้เป็นต้น ด้วยความแตกต่างนี้เองหากผู้จำนองตกลงจะเป็นผู้ค้ำประกันด้วยแล้วนั้น ผู้จำนองก็คงต้องเข้าทำสัญญาค้ำประกันแยกต่างหากอย่างชัดเจนกับสัญญาจำนอง โดยสัญญาค้ำประกันดังกล่าวก็ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการค้ำประกันกำหนดจึงจะมีผลใช้บังคับได้
นอกจากการแก้ไขกฎหมายจำนองจะให้ความคุ้มครองผู้จำนองเพิ่มมากขึ้นแล้ว มีบทบัญญัติเพิ่มเติมอีกประการหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นช่องทางที่ช่วยให้ผู้รับจำนองได้ความสะดวกมากขึ้นในการบังคับจำนอง โดยการเพิ่มมาตรา 729/1 ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้ผู้รับจำนองสามารถดำเนินการบังคับจำนองได้โดยไม่ต้องไปฟ้องคดีต่อศาลและดำเนินการขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งโดยปกติจะมีกระบวนการที่ใช้เวลาค่อนข้างนานอันส่งผลให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ล่าช้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องให้ดำเนินการบังคับจำนองโดยไม่ต้องไปฟ้องคดีต่อศาลได้ ในทางปฏิบัติช่วงแรกอาจมีข้อสงสัยว่าการดำเนินการบังคับจำนองดังกล่าวจะดำเนินการอย่างไรให้ถูกต้องและไม่เสี่ยงต่อการถูกฟ้องเพิกถอนการบังคับจำนองในภายหลัง โดยในเบื้องต้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าการดำเนินการขายทอดตลาดในการบังคับจำนองนี้ก็คงสามารถใช้วิธีการในทำนองเดียวการบังคับจำนำซึ่งสามารถทำได้โดยการขายทอดตลาดโดยไม่ต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลเช่นกัน
พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ.
----------------------
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนอันเป็นความเห็นในทางวิชาการ และไม่ใช่ความเห็นของบริษัท อัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผู้เขียนทำงานอยู่