คดีฆาตกรรมแหม่มเมืองผู้ดี : บทเรียนจากญี่ปุ่น

คดีฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวอังกฤษบนเกาะเต่าเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา กลายเป็นคดีที่อื้อฉาว
และโด่งดังมากที่สุดคดีหนึ่งเรียกได้ว่า เป็นคดีที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของตำรวจไทยไม่น้อย รวมทั้งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาพพจน์และภาวะด้านการท่องเที่ยวของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงเวลาที่สังคมไทยถกเถียงเกี่ยวกับการคดีฆาตกรรมฮานนาห์วิทเธอร์ริดจ์ และเดวิดมิลเลอร์โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์นั้น กรณีฆาตกรรมหญิงสาวชาวอังกฤษนาม “ลูซีย์แบล็คแมน” ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2543 น่าจะสามารถนำมาพิจารณาเทียบเคียงได้ไม่น้อย เพราะเคยเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังและอื้อฉาวมากที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของกระบวนการยุติธรรมในประเทศญี่ปุ่น และทำให้กระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่น ทั้ง “ต้นน้ำ” และ “ปลายน้ำ” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในและต่างประเทศไม่ต่างจากกรณีการฆาตกรรมบนเกาะเต่า
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อลูซีย์แบล็คแมนสาวอังกฤษวัยย่างเข้า 22 ปีเดินทางมาญี่ปุ่นด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว แล้วลักลอบทำงานเป็นโฮสเตสส์หรือสาวนั่งดริงก์ในไนต์คลับย่านร็อบปงกี้หรือ “พัฒน์พงศ์แห่งโตเกียว” ได้เพียงไม่ถึงเดือนก็ชะตาขาดภายหลังจากออกไปพบกับนักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งตามนัดในตอนสายของวันที่ 1 กรกฎาคม 2543 จนกระทั่งถูกฆาตกรรมสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่สุด
ตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีของกระบวนการยุติธรรม (นับตั้งแต่วันที่หายตัวไปจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา) ดูเหมือนว่า ตำรวจญี่ปุ่นเป็นหน่วยงานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ในหลายๆ ประเด็นโดยเฉพาะในเรื่องความเฉื่อยชาของการดำเนินคดีและความไม่รัดกุมในการทำสำนวน ดังนี้
หนึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว ว่ากันว่า ตำรวจญี่ปุ่นมีทัศนคติในแง่ลบต่อหญิงสาว (ชาวต่างชาติ) ที่ทำงานกลางคืนเป็นโฮสเตสส์ สาวบาร์หรือสาวนั่งดริงก์เป็นทุนเดิม ดังนั้น เมื่อมีการแจ้งความว่าโฮสเตสส์สาวต่างชาติหายตัวไป ตำรวจญี่ปุ่นจึงไม่ได้ถือเป็นเรื่องราวร้ายแรงที่ต้องดำเนินการติดตามในทันที
ตำรวจญี่ปุ่นไม่ได้ถือว่าการหายตัวไปของลูซีย์เป็นเรื่องซีเรียสใหญ่โต หรือแม้กระทั่ง ไม่คิดจะรับแจ้งความในตอนแรกด้วยซ้ำ (เหมือนคดีอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้) เรียกว่าตำรวจญี่ปุ่น (ถูกกล่าวหาว่า) มีท่าทีเฉยเมยไม่กระตือรือร้นที่จะดำเนินการค้นหาลูซีย์เป็นการเร่งด่วน ส่วนหนึ่งเพราะเชื่อว่า การหายตัวไปของลูซีย์ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม แต่หลบหายไปชั่วคราวด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งสาวต่างชาติจำนวนหนึ่งเคยทำหรือมักจะทำแบบนี้ เพราะการทำงานทั้งๆ ที่ถือวีซ่าท่องเที่ยวเข้าประเทศญี่ปุ่นถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ในตอนแรก หลุยส์ ฟิลิปส์ เพื่อนร่วมชาติที่พักและทำงานที่เดียวกัน อีกทั้งเป็นผู้ได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากลูซีย์เป็นคนเดียวและคนสุดท้ายในวันเกิดเหตุ แจ้งความเพียงแค่ว่า ลูซีย์หายตัวไป ต่อมา ภายหลังจากได้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษประจำกรุงโตเกียว หลุยส์ ฟิลิปส์ (ซึ่งต่อมา ขายข่าวเรื่องราวของลูซีย์ให้สื่ออังกฤษฉบับหนึ่งเป็นเงินปอนด์ห้าหลักหรือไม่ต่ำกว่าครึ่งล้านบาท) ได้แจ้งความอีกครั้งว่า ลูซีย์ถูก “ลักพาตัว” แทนที่จะเป็น “หายตัวไป” เพื่อทำให้คดีมีน้ำหนักและได้รับความสนใจจากตำรวจญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
ความเฉื่อยชาและเฉยเมยของตำรวจญี่ปุ่นในการติดตามการหายตัวไปของลูซีย์ ทำให้ครอบครัว “แบล็คแมน” ต้องดำเนินการต่างๆ ด้วยตนเองในหลายๆ เรื่องเพราะไม่สามารถนั่งรอวันเวลาที่ลูซีย์จะกลับมาแบบมีความหวังอะไรได้เลย โดยดำเนินการต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ดังนี้
หนึ่ง เปิดแถลงข่าวอย่างใหญ่โตที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 13 กรกฎาคม โดยร้องขอให้ชาวญี่ปุ่นช่วยเหลือในการค้นหาลูซีย์ พร้อมทั้งตั้งรางวัลถึงหนึ่งหมื่นปอนด์ (ประมาณห้าแสนบาท) ให้แก่ผู้แจ้งเบาะแสก่อนที่จะมีนักธุรกิจนิรนามสมทบทุนเพิ่มเป็นหนึ่งแสนปอนด์หรือเกือบห้าล้านบาท
การแถลงข่าวของครอบครัวแบล็คแมนในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสื่ออังกฤษและญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสื่อญี่ปุ่นที่เริ่มเสนอข่าวการหายตัวของสาวอังกฤษเป็นครั้งแรกๆ หลังจากเงียบเฉยแทบจะไม่มีข่าวใดๆ ปรากฏทางสื่อในญี่ปุ่นในช่วงเกือบสองอาทิตย์แรกเลย
นอกจากนี้ ครอบครัวแบล็คแมนก็ได้ว่าจ้างอดีตเจ้าหน้าที่ของสกอตแลนด์ยาร์ดให้มาดำเนินการสืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อช่วยค้นหาลูซีย์ในอีกทางหนึ่ง
สอง เปิดสำนักงานชั่วคราวในกรุงโตเกียวและสายฮอตไลน์เพื่อรับฟังข้อมูลและเบาะแสต่างๆ พร้อมทั้งมีการติดและแจกโปสเตอร์ “คนหาย” ไปทั่วกรุงโตเกียว ทำให้เรื่องราวและภาพของลูซีย์ปรากฏต่อสาธารณชนในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เพราะในช่วงเวลานั้น สื่อสังคมออนไลน์ยังไม่ได้มีเหมือนเช่นปัจจุบัน
นอกจากนี้ ครอบครัวแบล็คแมนยังได้รับเงินสนับสนุนจากนักธุรกิจชื่อดังรายหนึ่ง ในการจัดฉายเรื่องราวของลูซีย์ตามโรงภาพยนตร์ในญี่ปุ่นเพื่อให้คนญี่ปุ่นช่วยเป็นหูเป็นตาร่วมค้นหาลูซีย์
สาม เพื่อเป็นการเพิ่มแรงกดดันมากยิ่งขึ้น ครอบครัวของลูซีย์ได้ถือโอกาสเข้าพบและร้องเรียนโดยตรงต่อนายโรเบิร์ตคุ๊กรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษซึ่งอยู่ในระหว่างการเยือนญี่ปุ่นพอดี และนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ ซึ่งกำลังเดินทางมาประชุมสุดยอดผู้นำ G8 ที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องคดีจนประสบความสำเร็จ (ขั้นสำคัญขั้นหนึ่ง) โดยเฉพาะในส่วนของนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโดยตรงส่งผลทำให้ตำรวจในกรุงโตเกียวเจ้าของพื้นที่ต้องตื่นตัว เริ่ม “ขยับ” และดำเนินการค้นหาลูซีย์อย่างจริงๆ จังๆ นับตั้งแต่การหายตัวไปเมื่อสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษไม่ได้มีความคิดที่ส่งทีมสกอตแลนด์ยาร์ดเข้ามาร่วมดำเนินการสอบสวนสืบสวน และเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะอนุญาตให้เข้ามาร่วม แต่อย่างไรก็ตาม การขยับของสองผู้นำอังกฤษดังกล่าวก็ถือว่าสร้างแรงกดดันให้กับทางการญี่ปุ่นโดยเฉพาะตำรวจไม่น้อยจนไม่สามารถจะเฉื่อยชาได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น การอาสาเข้ามาช่วยเหลือของประธานศาลสูงสุดของอังกฤษก็มีส่วนทำให้กลไกต่างๆ ในกระบวนการสอบสวนสืบสวนของญี่ปุ่นเริ่ม “ขยับ” ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งนี้ ในช่วงแรกๆ ครอบครัวแบล็คแมนได้ร้องขอให้ตำรวจญี่ปุ่นตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของลูซีย์ในวันแรกที่หายตัวไปแต่ถูกปฏิเสธ โดยตำรวจอ้างเหตุผลว่า ไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบ (ย้อนหลัง) ได้ และ (จะ) เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จนกระทั่ง เมื่อทางครอบครัวของลูซีย์ได้เข้าพบและปรึกษากับประธานศาลสูงสุดของอังกฤษ ซึ่งอยู่ในช่วงกำลังเยือนญี่ปุ่นพอดี จนเชื่อได้ว่ามีการใช้ “กำลังภายใน” บางประการ จนกระทั่งตำรวจญี่ปุ่นยอมตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของลูซีย์
ดังนั้น เมื่อเรื่องราวเริ่มปรากฏเป็นข่าวดังทางสื่อทั้งในและต่างประเทศ บวกกับเจอแรงกดดันจากรัฐบาลอังกฤษ ตำรวจญี่ปุ่นจึงเริ่มขยับตัว แต่ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นของการทำสำนวนคดีที่เชื่อว่าหละหลวมมีช่องโหว่ จนมีผลต่อคำพิพากษาในเวลาต่อมาอย่างชนิดช็อกโลก
ทั้งนี้ ภายหลังจากใช้เวลาในกระบวนสืบสวนและสอบสวนนานกว่า 6 ปี ในที่สุด ศาลญี่ปุ่นก็มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายโจจิ โอบาร่าถูกกล่าวหาว่ามีความผิดในข้อหาลักพาตัวและฆ่าหั่นศพลูซีย์ เนื่องจากไม่มีทั้งพยานบุคคลและพยานหลักฐานที่สามารถระบุชี้ชัดถึงสาเหตุของการเสียชีวิตนั่นคือไม่รู้ว่าลูซีย์เสียชีวิตอย่างไร ดังนั้น โดยหลักตรรกะนี้ เมื่อไม่สามารถระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตของลูซีย์ได้ก็ไม่สามารถกล่าวหาและชี้ชัดได้ว่านายโอบาร่า (หรือใครก็ตาม) เป็นฆาตกรผู้สังหารลูซีย์ (?)
แน่นอนที่สุด คำพิพากษาและคำวินิจฉัยของศาลดังกล่าว ส่วนสำคัญหนึ่งก็เป็นผลมาจากการดำเนินการของตำรวจญี่ปุ่นในการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้ตำรวจญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็คือ ความล่าช้าในการติดตามหาลูซีย์ เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถค้นพบศพได้ ก็ไม่สามารถแจ้งข้อหาใดๆ ได้ ซึ่งปรากฏว่า ต้องใช้เวลานานถึง 7 เดือนกว่าที่จะพบชิ้นส่วนร่างกายของลูซีย์ซึ่งถูกหั่นชำแหละแยกออกชิ้นส่วนต่างๆ ถึงสิบส่วน ด้วยระยะเวลาที่นานเกินครึ่งปีเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ จนเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถชันสูตรและระบุถึงสาเหตุของการเสียชีวิต (ก่อนที่จะถูกหั่นศพ) ได้
ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญก็ขาดหายไป เพราะไม่ปรากฏพบ DNA ของนายโอบาร่าบนชิ้นส่วนร่างกายใดๆ ของลูซีย์ ไม่พบแม้กระทั่งคราบเลือดของลูซีย์ (ในห้องพักของโอบาร่า) ที่สามารถระบุได้ว่าเป็นจุดที่ถูกชำแหละหรือฆ่าหั่นศพ นอกจากการตรวจพบเส้นผมสีบลอนด์ของลูซีย์ที่ระบุยืนยันได้เพียงว่า ลูซีย์มาที่ห้องพักของโอบาร่าจริงๆ
นอกจากนี้ หลักฐานและพยานวัตถุต่างๆ ที่ตำรวจญี่ปุ่นสามารถรวบรวมได้ คือ หนึ่ง ใบเสร็จการซื้อเลื่อยไฟฟ้าซึ่งตรงกับรอยเลื่อยที่พบบนโครงกระดูกของลูซีย์ (แต่ไม่พบตัวเลื่อยไฟฟ้า) สอง รอยซีเมนต์บนเสื้อผ้าและมือของโอบาร่า เนื่องจากโอบาร่าใช้ซีเมนต์ในการกลบฝังส่วนกะโหลกของลูซีย์ สาม จดหมายที่โอบาร่าสวมอ้างเป็นลูซีย์ และ สี่ เว็บไซต์ที่โอบาร่าค้นหาและเปิดอ่านถึงวิธีการจัดการกับศพ แต่ถึงที่สุด พยานหลักฐานต่างๆ ข้างต้นก็ไม่ได้มีน้ำหนักเพียงพอที่สามารถระบุถึงสาเหตุการเสียชีวิตของลูซีย์ได้เลย จนทำให้ตำรวจญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งนี้ มีความเชื่อความคิดเห็นว่า หากตำรวจญี่ปุ่นดำเนินการอย่างจริงๆ จังๆ ตั้งแต่วันแรกๆ ก็คงจะสามารถรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ได้อย่างหนาแน่นจนนายโอบาร่าดิ้นไม่หลุดอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่า ศาลจะตัดสินยกฟ้องในคดีข่มขืนและฆาตกรรมลูซีย์ แต่นายโอบาร่าก็ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในคดีมอมยาและข่มขืนสาวต่างชาติผมบลอนด์คนอื่นๆ อีก 9 คนและหนึ่งในนั้นถูกฆาตกรรม โดยมีเทปวีดิโอบันทึกภาพขณะนายโอบาร่ากำลังข่มขืนสาวผมบลอนด์ (หลายๆ คน) ในสภาพหมดสติเป็นวัตถุพยานที่สำคัญที่สุด
ในอีกสองปีต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยพิพากษาว่านายโอบาร่ามีความผิดจริงในข้อหาลักพาตัว มอมยาและหั่นชำแหละศพลูซีย์ด้วยเลื่อยไฟฟ้าภายในห้องพักของตัวเอง (อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้ครอบครัวของแบล็คแมนยอมรับได้ในระดับหนึ่งว่านี่คือความยุติธรรมเท่าที่จะเป็นไปได้) แต่ให้ยกฟ้องในข้อหาข่มขืน และที่สำคัญที่สุด ก็คือยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุว่าโอบาร่า (ซึ่งวางเป้าหมายจะข่มขืนหรือมีเซ็กซ์กับผู้หญิงให้ครบ 500 คนก่อนอายุครบ 30 ปี) เป็นผู้ฆาตกรรมลูซีย์
สุดท้าย นายโอบาร่าซึ่งไม่เคยเอ่ยปากสารภาพว่าเป็นผู้ฆาตกรรมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต (นอกเหนือจากการยอมรับว่าได้พบกับลูซีย์จริง) ก็ยื่นฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตในความผิดข้อหาลักพาตัว หั่นศพและกลบฝังร่างกายของลูซีย์ แต่ก็ยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า นายโอบาร่าไม่ได้มีความผิดในข้อหาฆาตกรรมลูซีย์ (ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า ส่วนสำคัญหนึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ตำรวจญี่ปุ่นไม่สามารถพิสูจน์พร้อมหลักฐานยืนยันถึงสาเหตุการเสียชีวิตได้)
เป็นการยุติหนึ่งทศวรรษแห่งกระบวนการยุติธรรม แบบทิ้งปริศนาให้คาใจไม่มีบทสรุปที่ยืนยันถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ลูซีย์เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าใจเป็นที่สุด
ด้วยความเป็นคดีที่อื้อฉาวและโด่งดังมากๆ จึงทำให้กรณีการฆาตกรรมลูซีย์ถูกนำไปตีพิมพ์ในหนังสือชื่อ “People Who Eat Darkness” โดยนักข่าวชาวอังกฤษที่ติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้น อย่างน้อยที่สุด เชื่อได้ว่า อาจจะมีบางแง่บางมุมของคดีนี้ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยและกระบวนการยุติธรรมของไทยได้ไม่น้อย