เหลาจื่อไม่ใช่แค่นักปราชญ์

เหลาจื่อไม่ใช่แค่นักปราชญ์

ตอนที่ผมเรียนหนังสืออยู่ในจุฬาฯ คณะนิเทศศาสตร์ ระหว่างปี 2513-2516 และได้เรียนวิชาปรัชญาในปีสอง

กับอาจารย์รจิตลักษณ์ซึ่งเป็นอาจารย์ที่จบจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปเรียนต่อที่สหรัฐฯจนได้ปริญญาโทกลับมา และมาเป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญาของคณะนิเทศศาสตร์

สมัยนั้นนักวิชาการตะวันตกยังไม่ค่อยเข้าใจท่านเหลาจื่อจึงถือว่าท่านเป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่งของจีน เช่นเดียวกับท่านขงจื่อบรมครูแห่งแผ่นดินจีน นักวิชาการฝรั่งจัดสองท่านนี้เป็นแค่นักปราชญ์ จวบจนท่านไอน์สไตน์นักฟิสิกส์ผู้โด่งดังได้อ่านคัมภีร์เต้าเต๋อจิงของท่านเหลาจื่อ และยกย่องคัมภีร์ที่ท่านเขียนว่าเป็นราชาแห่งหมื่นคัมภีร์ ชาวโลกตะวันตกจึงเริ่มเข้าใจว่า ท่านเหลาจื่อไม่ใช่แค่นักปราชญ์ หากเป็นอริยบุคคลคนแรกของโลกที่ค้นพบกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และกฎเกณฑ์ของจักรวาล

ข้อเท็จจริงก็คือ ท่านเหลาจื่อเป็นอริยบุคคลที่เกิดก่อนพระพุทธเจ้าราว 300 ปีเพราะท่านเกิดในยุคราชวงศ์โจว และรับราชการอยู่ในราชสำนักสมัยราชวงศ์โจวช่วงปลายสมัย ท่านเหลาจื่อรับราชการเป็นบรรณารักษ์ในห้องสมุดแห่งราชสำนัก ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในราชสำนักจึงหลบไปอยู่ในป่า และค้นพบหลักเกณฑ์ของธรรมชาติโดยการนั่งสมาธิและทำจิตใจให้ว่างเปล่าสงบนิ่ง จนเกิดปัญญาเหมือนกับตอนที่ท่านเดินข้ามสายธารสายหนึ่ง เมื่อท่านเดินข้ามเหยียบลงไปในน้ำ น้ำก็ขุ่น พอข้ามเรียบร้อย ท่านก็หยุดดู และสังเกตเห็นน้ำเริ่มนิ่ง จนใสสะอาดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจึงค้นพบการนั่งสมาธิจากการสังเกตของท่าน เมื่อท่านนั่งสมาธิ และปล่อยวางจนจิตของท่านนิ่งสงบเป็นเวลานาน ท่านจึงเกิดปัญญามองเห็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ รวมทั้งกำเนิดของจักรวาลท่านหยั่งรู้ถึงอนาคตจึงเขียนบันทึกสิ่งที่ท่านมองเห็นด้วยอักษรจีนเพียงห้าพันคำเพราะมองเห็นว่ามนุษย์ในอนาคตไม่มีเวลา ตกเป็นทาสของเวลา

ด้วยเหตุนี้หนังสือที่ท่านเขียนด้วยอักษรเพียงห้าพันคำจึงได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกเมื่อจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงรับสั่งให้แปลคัมภีร์ของท่านเป็นภาษาอังกฤษ การแปลคัมภีร์ที่ท่านเขียนจึงแพร่หลายไปทั่วโลกมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก ก่อนหน้านี้ ชาวเกาหลี และชาวญี่ปุ่นก็ได้แปลคัมภีร์เล่มนี้โดยเฉพาะเกาหลีใต้ซึ่งปัจจุบันใช้เครื่องหมายไท่จี๋อันเป็นสัญลักษณ์ของเต๋ามาเป็นสัญลักษณ์ของธงชาติ

ครับท่านเหลาจื่อเขียนหนังสือเพียงห้าพันคำ แต่ครอบคลุมกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ และจักรวาลแทบทั้งหมดนับตั้งแต่การกำเนิดของดวงดาวต่าง ๆ รวมทั้งโลกไปจนกระทั่งสอนให้มนุษย์รู้จักรักธรรมชาติ รวมทั้งเคารพธรรมชาติ และบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ท่านสอนว่ามนุษย์เป็นหนึ่งในสี่ยิ่งใหญ่ซึ่งประกอบด้วยฟ้า ดิน เต๋า และมนุษย์ ท่านเตือนให้มนุษย์รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตัว รู้จักให้ความรักธรรมชาติ และเมตตาสรรพชีวิตทั้งหลาย รวมทั้งสรรพสิ่ง

แน่นอนที่สุด ท่านเหลาจื่อไม่ใช่แค่นักปราชญ์อย่างที่ชาวตะวันตกเคยคิดกัน แต่ท่านเป็นอริยบุคคลผู้เข้าใจ และเข้าถึงกฎเกณฑ์ธรรมชาติ และจักรวาลเป็นคนแรกของโลก ท่านค้นพบทางสายกลางที่ท่านเรียกว่าความสมดุล ท่านเรียกแตกต่างจากพระพุทธเจ้า และท่านขงจื่อ

ส่วนท่านขงจื่อก็ไม่ใช่นักปราชญ์ที่ชาวตะวันตกเข้าใจเช่นกันเพราะท่านเป็นมหาปราชญ์หนึ่งเดียวในโลกผู้รู้หนังสือจีนถึงสองล้านคำ (ตัว) จากตัวอักษรจีนทั้งหมดหกล้านตัว และท่านก็ค้นพบทางสายกลางเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า (ท่านขงจื่อเกิดทีหลังพระพุทธเจ้าแต่ท่านทั้งสองไม่เคยพบหรือรู้จักกันเพราะเกิดคนละประเทศ)

ครับท่านขงจื่อและท่านเหลาจื่อเคยพบกัน และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นเวลาสามวันกับสามคืน ท่านขงจื่อจึงยอมรับว่าท่านเหลาจื่อเหนือกว่าท่านขงจื่อมากเป็นอาจารย์ของท่านขงจื่อ ตอนที่ท่านขงจื่อเดินทางขึ้นเขาไปพบท่านเหลาจื่อ ตอนนั้นท่านเหลาจื่อมีอายุราวสองร้อยกว่าปีแล้ว ท่านเหลาจื่อจากโลกนี้ไปเมื่อท่านมีอายุได้ 260 ปีนับเป็นบุคคลที่มีอายุยาวที่สุดในโลกในสมัยโบราณ ส่วนท่านขงจื่อจากโลกนี้ไปเมื่อท่านมีอายุเพียง 77 ปี อ่อนกว่าพระพุทธเจ้าสามปีพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานเมื่อพระองค์มีอายุได้ 80 พรรษา

คัมภีร์ที่ท่านเหลาจื่อเขียนมีเพียง 81 บทหรือห้าพันตัวอักษรจีนโบราณ คัมภีร์ของท่านจึงได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลกทุกภาษา แต่ครอบคลุมกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งหมด ท่านไอน์สไตน์เมื่ออ่านคัมภีร์ของท่านแล้วจึงยกย่องว่าเป็นราชาแห่งหมื่นคัมภีร์เหนือกว่าคัมภีร์พระไตรปิฎกของศาสนาพุทธ คัมภีร์ไบเบิลแห่งศาสนาคริสต์ และคัมภีร์กูรข่านของศาสนาอิสลาม หรือคัมภีร์อื่น ๆ

ครับท่านเหลาจื่อเขียนคัมภีร์ของท่านอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ แล้วแต่ผู้อ่านจะตีความเอง อย่างเช่น จอห์จ วอชิงตัน เมื่ออ่านคัมภีร์ของท่านจบก็ตีความเป็นกฎเกณฑ์ของการปกครองโดยแบ่งอำนาจการปกครองออกเป็นสามส่วน และถ่วงดุลซึ่งกันและกันจนกลายเป็นระบอบการปกครองแบบประธานาธิบดีของสหรัฐดังเช่นปัจจุบันนี้ หรือดร.ซุนยัดเซ็นก็อ่านคัมภีร์ของท่านก็ค้นคิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งละม้ายคล้ายกับระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หรือประธานาธิบดีลินคอล์น ของสหรัฐฯเมื่ออ่านคัมภีร์ของท่านก็ประกาศเลิกทาสเช่นเดียวกับรัชกาลที่ห้าสมเด็จพระปิยมหาราช พระองค์ท่านก็ทรงอ่านคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเพียงวิธีเลิกท่านของพระองค์ท่านกับท่านลินคอล์นแตกต่างกัน หรือท่านเชอร์ชิลแห่งอังกฤษที่ได้อ่านคัมภีร์เล่มนี้จึงยืนหยัดต่อสู้กับเยอรมันนาซีอย่างไม่ย่อท้อเพราะท่านเชื่อว่าธรรมย่อมชนะอธรรม

นอกจากนี้ผู้ที่อ่านคัมภีร์ของท่านเหลาจื่อก็มีอีกมากมาย รวมทั้งคาลมาร์กนักปราชญ์ชาวเยอรมันผู้ค้นคิดหลักการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เพียงคาลมาร์กไม่เข้าใจเรื่องคุณธรรมของท่านเหลาจื่อ ท่านจึงตัดออกไป และท่านไปนำหลัก Dialectic ของนักปราชญ์ชาวยุโรปเข้ามาแทน ลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเป็นระบอบการปกครองที่ไร้คุณธรรม

ในยุคของเลนิน และสตาลินก็มีชาวรัสเซียที่ล้มตายก่อนวัยอันควรนับเป็นสิบล้านคน ในยุคของเหมาฯยิ่งหนักใหญ่มีชาวจีนต้องล้มตายเมื่อเหมาฯประกาศใช้นโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ราว 40 ล้านคนหรือครึ่งหนึ่งของพลเมืองของประเทศไทย หรือเขมรแดงในยุคพอลพตก็มีชาวเขมรล้มตายประมาณ 3 ล้านคน นี่คือลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คาลมาร์กตัดเรื่องคุณธรรมออกไป ผู้ปกครองที่นำลัทธินี้มาใช้ปกครองบ้านเมืองจึงมองชีวิตคนเหมือนเครื่องจักร หรือจักรกล นี่คือความเลวร้ายของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คาลมาร์กนำมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิงโดยไม่เข้าใจ

ครับคัมภีร์เต้าเต๋อจิงเป็นสุดยอดแห่งคัมภีร์คุณธรรม เมื่อจีนอัญเชิญพระไตรปิฎกเข้ามาในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาผสมผสานเข้ากับคำสอนในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงจึงกลายเป็นนิกายมหายานของศาสนาพุทธที่แพร่หลายในดินแดนตะวันออกนับตั้งแต่จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวมทั้งมองโกเลีย และบางส่วนของประเทศรัสเซีย

ท่านเหลาจื่อเป็นอริยบุคคลผู้หยั่งรู้อนาคตล่วงหน้าหลายพันปีเพียงแต่ท่านไม่เคยเผยแพร่คำสอนของท่าน คนแรกที่นำคัมภีร์ของท่านไปเผยแพร่หลังจากท่านจากโลกนี้ไปราว 6 ร้อยปีก็คือจางเต้าหลิน หรือจางจื่อผู้ขี่เสือเป็นพาหนะซึ่งท่านก็สำเร็จเป็นเซียนหรือผู้อมตะซึ่งจากโลกนี้ไปโดยไร้ร่องรอยเหมือนท่านเหลาจื่อ หรือจางซันฟงเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง หรืออู่ตังตามภาษาจีนกลาง รวมทั้ง 8 เซียนในตำนานจีนโบราณ