เรื่องใหม่ของกระต่ายกับเต่า

เรื่องใหม่ของกระต่ายกับเต่า

นิทานกระต่ายกับเต่าที่เรารู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยังคงเป็นนิทานสอนใจที่ใช้ให้ความรู้กับเด็กในทุกวันนี้

ได้เป็นอย่างดี เพราะความประมาทของเจ้ากระต่ายน้อยที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปจนคิดว่าแอบไปงีบสักหน่อยก็ไม่น่ามีปัญหา

แต่กว่าจะตื่นขึ้นมาก็พบว่าสายเกินไปเสียแล้วเนื่องจากเต่าแสนเชื่องช้านั้นค่อยๆ มุมานะเดินไปเรื่อยจนแซงหน้าและเข้าเส้นชัยได้ก่อนในที่สุด

ในมุมของธุรกิจเรื่องนี้ก็ให้มุมมองที่ดีได้เช่นกันว่าการเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แม้จะช้ากว่าผู้อื่นแต่หากมุมานะและเดินหน้าไปอย่างสม่ำเสมอก็อาจเอาชนะคู่แข่งได้เช่นกัน ความหนักแน่นมั่นคงจึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีของนิทานอีสปเรื่องนี้

ผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน นิทานกระต่ายกับเต่าในยุคใหม่จึงมีมุมมองที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น เรื่องที่ดัดแปลงมาในตอนใหม่นี้จึงผูกเรื่องให้กระต่ายขอแก้มืออีกครั้ง และเมื่อเต่าตอบตกลงเจ้ากระต่ายน้อยจึงไม่ลังเลที่จะวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าเข้าเส้นชัยไปรวดเดียวทิ้งเต่าไว้ให้พ่ายแพ้ห่างไกลลิบลับ

ชัยชนะของกระต่ายในรอบนี้ในทางธุรกิจบอกให้เรารู้ว่า “ช้าๆ แต่มั่นคง” อาจไม่ทันใจสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่มีพลวัตรสูงเหมือนอย่างทุกวันนี้ เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็ว ผู้ที่จะคว้าชัยชนะได้ก็จำเป็นที่จะต้องเร็วกว่าและสม่ำเสมอมากกว่า

ความหนักแน่นมั่นคงและค่อยๆ ย่างก้าวไปอย่างช้าๆ แต่สม่ำเสมอเหมือธุรกิจขนาดใหญ่ในอดีตจึงใช้ไม่ได้เสียแล้วกับทุกวันนี้เพราะคนที่เร็วกว่าและมั่นคงกว่าเรามีเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะแซงหน้าเราไปและเข้าเส้นชัยได้ก่อนเรา

เรื่องถัดมาของกระต่ายกับเต่าฉบับดัดแปลง คราวนี้ตั้งเรื่องให้เต่าขอเป็นฝ่ายท้ากระต่ายกลับบ้าง โดยเจ้าเต่าขอเลือกเส้นทางการแข่งขันเองแทนที่จะเป็นเส้นทางเดิมๆ ที่ทั้งสองคุ้นเคย เมื่อกระต่ายตอบตกลง วันแข่งขันทั้งสองฝ่ายจึงวิ่งอย่างเต็มที่เพราะไม่มีใครประมาทฝีมือของอีกฝ่ายเหมือนในอดีต

แน่นอนว่าฝีเท้าของกระต่ายย่อมทำให้มันนำลิ่ว ในขณะที่เต่ายังคลานต้วมเตี้ยมตามหลังมาหลายกิโลเมตร แต่กระต่ายก็ลิงโลดอยู่ได้ไม่นานเมื่อพบว่าเส้นชัยที่อยู่ข้างหน้าเพียงไม่ไกลนั้นมีแม่น้ำแห่งหนึ่งขวางกั้นอยู่และไม่มีสะพานหรือทางอ้อมใดๆ ที่จะข้ามไปสู่อีกฝั่งได้เลย

เมื่อเต่าคลานมาถึงอย่างเชื่องช้า ก็กระโดดลงน้ำไปในทันทีทิ้งให้กระต่ายรออยู่ที่เดิมโดยทำอะไรไม่ได้ แล้วเต่าก็ค่อยๆ ก้าวไปถึงเส้นชัย ทิ้งให้กระต่ายที่ยังสับสนหาทางไปไม่ได้อยู่อีกฝั่งหนึ่งเพราะเต่ารู้ดีว่ากระต่ายว่ายน้ำไม่ได้จึงเลือกเส้นทางที่ตัวเองได้เปรียบที่สุด

เรื่องราวตอนนี้อาจฟังดูแปลกประหลาดแต่สำหรับโลกธุรกิจแล้วนี่คือการรู้จัก Core Competency ของตัวเอง รู้ว่าอะไรเป็นจุดแข็งและอะไรเป็นจุดอ่อน และต้องเลือกสมรภูมิที่เราได้เปรียบสูงสุด แม้จะแพ้คู่แข่งในบางช่วงแต่ท้ายที่สุดแล้วเราจะเป็นฝ่ายประสบความสำเร็จได้ก่อนแน่นอน

มาถึงเรื่องสุดท้าย เมื่อเต่ากับกระต่ายอิ่มตัวกับการแข่งขันกันเอง แต่ยังคงอยากจะพัฒนาความเก่งให้กับตัวเองจึงตกลงที่จะมาแข่งขันกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขันกันเอง แต่เป็นการแข่งกับสถิติที่ทั้งคู่เคยทำได้ในอดีต

ในรอบนี้ทั้งคู่จึงตกลงที่จะร่วมมือกันเพื่อหาทางทำให้สถิติที่เคยทำในครั้งก่อนดีขึ้น กระต่ายจึงตกลงที่จะแบกเต่าขึ้นบนหลังเพื่อวิ่งบนทางเรียบให้ทั้งคู่ไปถึงริมฝั่งแม่น้ำให้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับเต่าก็ยินยอมที่จะแบกกระต่ายไว้บนกระดองเพื่อให้ทั้งคู่ข้ามแม่น้ำไปได้พร้อมๆ กัน ก่อนที่จะสลับให้เต่ามาขี่หลังกระต่ายอีกครั้งเมื่อถึงอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแล้ววิ่งเข้าเส้นชัยไปในที่สุด

วิธีนี้แม้ทั้งสองฝ่ายต้องเสียเวลาแบกอีกฝ่ายหนึ่งไปบ้างในแต่ละช่วง แต่โดยรวมแล้วก็ทำให้ทั้งคู่ไปถึงเส้นชัยได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งรูปแบบวิธีเช่นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่เราจะเห็นการควบรวมกิจการ หรือการแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจในภาพรวม

หรือแม้แต่การพัฒนาภายในองค์กรที่แต่ละแผนกให้ความร่วมมือส่งเสริมซึ่งกันและกัน

การจับคู่แล้วเสริมจุดอ่อนจุดแข็งซึ่งกันและกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันจึงเป็นเรื่องที่นิทานกระต่ายกับเต่าฉบับดัดแปลงให้ความรู้กับเรา และสอนให้เท่าทันโลกธุรกิจยุคนี้ที่เราไม่อาจอยู่รอดได้แม้ว่าจะเก่งเพียงใดหากเราอยู่เพียงลำพัง

แต่ละยุคแต่ละสมัยความสามารถของกระต่ายและเต่าไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่ใครจะคว้าชัยชนะได้ก่อนจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการปรับตัวของแต่ละฝ่ายว่าจะแสวงหาความได้เปรียบสูงสุดได้อย่างไร