ฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท

บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายกำหนดให้มีกรรมการเป็นผู้บริหารจัดการ จะมีกรรมการกี่คน มีอำนาจอย่างไร
ตลอดจนการแต่งตั้งและถอดถอนกรรมการ เป็นอำนาจของที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น และหากที่ประชุมใหญ่มีมติเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นประการใด จะต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทภายใน 14 วัน จึงจะมีผลสมบูรณ์ หากกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนใดเห็นว่า มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่เปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นไปโดยไม่ชอบ เช่น เป็นการประชุมหรือการลงมติที่ผิดระเบียบ สามารถร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นได้ แต่ต้องร้องขอภายในหนึ่งเดือน นับแต่ลงมติ ถ้าร้องเกินกำหนดเวลาดังกล่าวจะ หมดสิทธิร้องขอต่อศาล (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2536)
ในกรณีที่ไม่มีการร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น จนนายทะเบียนได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทตามมติที่ประชุมแล้ว ถ้ากรรมการหรือผู้ถือหุ้นเห็นว่ามติเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นไปโดยไม่ชอบ จะฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการนั้นต่อศาลปกครองได้หรือไม่ กรณีปัญหาดังกล่าวข้างต้น มีคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ถือได้ว่า ได้ให้คำตอบต่อปัญหานี้ไว้ คือ คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 658/2557 ที่มีคำวินิจฉัยโดยสรุปคือ
ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เดิมผู้ฟ้องคดี นาย ถ. และนาย ร. มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท ก. ต่อมา นาย ถ. และนาย ร. ได้ออกหนังสือเชิญประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ในวันที่ 16 มกราคม 2556 จากนั้น วันที่ 25 มกราคม 2556 นาย ถ. และนาย ร. ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนกรรมการ และแก้ไขเพิ่มเติมจำนวน หรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท จังหวัดสมุทรปราการ) โดยอาศัยมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการเป็นกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัท และแก้ไขจำนวนหรือ ชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทจากเดิมสามคนเหลือสองคน คือ นาย ถ. และนาย ร. สองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัท
ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 แจ้งผู้ฟ้องคดีว่า หากผู้ฟ้องคดีมีข้อคัดค้านการจดทะเบียนดังกล่าว ให้ยื่นหนังสือคัดค้านและชี้แจงเหตุผลประกอบคำคัดค้านต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ลงในหนังสือ ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือคัดค้านการจดทะเบียนดังกล่าวว่า หนังสือมอบฉันทะของนาย บ. และนาย ท. หรือนาย จ. ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่มอบฉันทะให้กับนาย ภ. และนาย ร. เข้าร่วมประชุมแทน ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด และปิดอากรแสตมป์ ไม่ครบถ้วน โดยไม่ได้ขีดฆ่าให้ถูกต้องตรงตามประมวลรัษฎากร หนังสือมอบฉันทะดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับการลงมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 เกิดจากการชักชวนกันลงมติ อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่อาจนับเป็นคะแนนเสียงในการลงมติได้
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 7 มิถุนายน 2556 แจ้งผลการพิจารณาว่าคำคัดค้านของผู้ฟ้องคดีมีเหตุผลไม่เพียงพอ ไม่อาจรับฟังได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีคำสั่งรับจดทะเบียนคำขอเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 และแจ้งว่าหากผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) มีหนังสือลงวันที่ 26 สิงหาคม 2556 ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงนำคดีมาฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่ง รับจดทะเบียนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผลการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดี ออกจากสารบบความ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยคดีนี้ ศาลจำต้องพิจารณาในประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า การประชุมและมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2556 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการ รับจดทะเบียนที่พิพาท เมื่อบริษัท ก. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้า เพื่อแสวงหากำไรและเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก รัฐจึงได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ให้การก่อตั้ง การดำเนินกิจการ ตลอดจนการเลิกกิจการของนิติบุคคล ต้องเป็นไปตามขั้นตอนและจดทะเบียน หากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็ต้องนำความไปแจ้งต่อนายทะเบียนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรับรองสิทธิว่านิติบุคคลนั้นเป็นบุคคลตามกฎหมาย มีความสามารถที่จะทำนิติกรรมได้ และเพื่อเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ถึงสถานะ อำนาจหน้าที่ของกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลนั้นๆ ซึ่งกระบวนการและขั้นตอนตามกฎหมายนี้เป็นไป เพื่อรับรองสิทธิของนิติบุคคลในทางแพ่งเท่านั้น มิใช่เรื่องทางปกครอง สถานภาพของผู้ฟ้องคดี จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ จึงต้องเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง มิใช่อยู่ที่การรับจดทะเบียน เมื่อศาลจำต้องพิจารณาถึงสิทธิในทางแพ่งเป็นสำคัญแล้ว ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ทั้งนี้ ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ 50/2555 คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ฟ้องคดีฟังไม่ขึ้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
จากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว จึงถือเป็นบรรทัดฐานได้ว่า ในการที่ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นมีมติเปลี่ยนแปลงกรรมการ และมีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการตามมติแล้ว ไม่สามารถฟ้องต่อศาลปกครองให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ เพราะข้อพิพาทเช่นนี้หรือทำนองนี้เป็นเรื่องทางแพ่ง ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ดังนั้น หากกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนใดเห็นว่ามติของที่ประชุมใหญ่ให้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการเป็นไปโดยไม่ชอบ จะต้องใช้สิทธิทางศาลฟ้องต่อศาลยุติธรรมให้เพิกถอนมตินั้น ภายในหนึ่งเดือนตามที่บัญญัติไว้ตามป.พ.พ. มาตรา 1195 อย่างไรก็ตามหากรายงานการประชุมใหญ่นั้นเป็นเท็จ เพราะไม่มีการประชุมจริง มิใช่การประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบตามความหมายของป.พ.พ. มาตรา 1195 ไม่อยู่ในบังคับที่ต้องฟ้องเพิกถอนภายในหนึ่งเดือน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2362/2520)