วัยรุ่นไทยกับบารากุ

บารากุหรือเรียกอีกอย่างว่า ชิชา เป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับสูบ มีลักษณะคล้ายขวดรูปทรงสูง ฐานล่างใช้บรรจุน้ำ ส่วนด้านบนสุดมีถ้วยบรรจุยา
โดยใช้ฟอยล์หุ้มปิดด้านบนและเจาะรูไว้ ซึ่งจะใช้ถ่านที่ติดไฟวางบนฟอยล์ เพื่อชักนำให้เกิดการเผาไหม้ของยาภายในถ้วยจะได้ควันตามที่ต้องการ การสูบบารากุมักจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันสูบหลายๆ คน มักจะเห็นการตั้งวงสูบบารากุ เป็นพฤติกรรมทางสังคม (ของคนรุ่นใหม่) ที่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งในปัจจุบันมีการแพร่หลายในสถานบันเทิง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวตอนนี้ไม่ได้มีการเสพกันเฉพาะกลุ่มแล้ว แต่มีการกระจายไปทั่วทุกที่ อันตรายมากสำหรับกลุ่มวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองสิ่งแปลกใหม่ อีกทั้งมีความเชื่อแบบผิดๆ ว่า สูบนิดเดียวคงไม่ติดไม่มีพิษมีภัย แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อสูบบารากุประมาณหนึ่งเดือน ผู้สูบจะเริ่มติด ความรู้สึกกระสับกระส่าย
คนที่ติดส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าบารากุเป็นสิ่งไม่อันตราย เนื่องจากคิดว่าบารากุทำมาจากผลไม้หรือสมุนไพร จึงปลอดภัยกว่าบุหรี่เพราะไม่มีสารนิโคติน ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้มีกลิ่นปากหรือปากดำ การสูบบารากุไม่ได้ส่งผลกระทบเหมือนการสูบบุหรี่ ทัศนคติที่ผิดๆ นี้จึงเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้บารากุมากยิ่งขึ้น
จากการที่ได้ลงพื้นที่สอบถามกลุ่มวัยรุ่นทั้งคนไทยและชาวต่างชาติในสถานบันเทิงย่านถนนข้าวสาร ซึ่ีงได้คำตอบที่เหมือนกันคือพวกเขายังคงคิดว่าการสูบบารากุให้พิษภัยน้อยกว่าการสูบบุหรี่ มีรสชาติที่หวานหอมและยังหาซื้อง่ายตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป ราคาอยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดจากความเป็นจริง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้รับข้อมูลพิษภัยของบารากุว่ามันร้ายแรงแค่ไหน เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรบ้าง และสารในบารากุมีส่วนประกอบอะไรบ้างที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายของเรา
สมัยก่อนบารากุไม่ใช่สิ่งที่ได้รับความสนใจมากนัก เนื่องจากมีความยุ่งยากในการสูบ และค่อนข้างจะหาซื้อได้ยาก แต่ในปัจจุบันบารากุได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นที่สังสรรค์ในกลุ่มของวัยรุ่น ทำให้ค่านิยมการสูบบารากุของกลุ่มคนที่สนใจนั้นเริ่มเปลี่ยนไปจากที่เคยออกไปสูบตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็กลับกลายเป็นการซื้อเตามาไว้ครอบครองและสูบกันเองภายในบ้านทำให้สังคมมองการสูบบารากุในทางลบหรือเป็นยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย
จากโทษที่อันตรายของบารากุนั้น ส่งผลให้เกิดการผลักดันออกกฎหมายมาควบคุมยาสูบชนิดนี้ในประเทศไทย หากผู้ใดฝ่าฝืนต้องรับโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้ลงพื้นที่ย่านถนนข้าวสารกลับพบเห็นการซื้อขายบารากุตามร้านอาหาร สถานบันเทิง หรือสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนมากยิ่งขึ้นอย่างเปิดเผย กลุ่มคนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมหาวิทยาลัยจนถึงวัยทำงาน และมีกลุ่มเด็กมัธยมปลายปะปนอยู่ด้วย
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากด้วยความเข้าใจผิดของกลุ่มวัยรุ่นที่มองว่าการสูบบารากุให้โทษน้อยกว่าการสูบบุหรี่ทั่วไปหลายเท่า จึงเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด เหมือนกับสำนวนถอนรากถอนโคน คือการทำลายให้ถึงต้นตอของแหล่งที่มาให้หมด เช่น การปราบปรามสิ่งเสพติดไม่ให้เป็นภัยต่อสังคม สิ่งที่น่ากลัวของบารากุนั้นไม่ใช่การสูบบารากุ แต่เป็นผู้สูบบารากุที่จะเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มวัยรุ่นและมีแนวโน้มว่าจะเป็นวัยเด็กลงเรื่อยๆ
ปัญหาเรื่องยาเสพติดยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงพยายามกวาดล้างกันอยู่ แต่ใช่ว่าจะหมดในเร็ววัน สิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการได้ทันทีก็คือ การประชาสัมพันธ์สื่อสารให้วัยรุ่นได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของการสูบบารากุ แม้ว่าบารากุจะประกอบด้วยเปลือกผลไม้ซึ่งดูเหมือนจะปลอดภัย (ตามที่วัยรุ่นเข้าใจผิดๆ) การสูบบารากุแต่ละครั้งมักจะใช้เวลานาน ผู้สูบอาจจะสูดควันมากกว่าสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 100 มวน บารากุจึงมีโทษมากกว่าบุหรี่ถึง 6 เท่า อีกทั้งการสูบบารากุยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง และอาจก่อให้เกิดโรคติดต่อหากใช้อุปกรณ์ร่วมกัน ซึ่งถ้าใครที่ชื่นชอบและหลงเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการสูบบารากุก็อยากขอให้ลด ละ เลิก กันนะคะ
บารากุคือยาสูบอันตรายมหันต์ต่อผู้สูบ ถ้าคิดที่จะเลิก เชื่อเถอะวัยรุ่นอย่างพวกเราทำได้แน่นอน หากพยายามและตั้งใจจริง
--------------------
ข้อมูลนักเขียน :
นพภัสสร นิลเอก นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต