Mission Impossible: กลางมหานครลอนดอน

ภาพยนต์ Mission Impossible ออกอากาศทางโทรทัศน์เมื่อปี 1966-1978 และ 1988-1990 นำแสดงโดยพระเอกผิวสี เกร็ก มอริส
ต่อมาในปี 1996 ได้สร้างเป็นภาพยนต์ฮอลลีวู้ด กำกับและนำแสดงโดยพระเอก ทอม ครู๊ซซึ่งในปีนั้น พระเอก Greg Morris เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมองพอดี
แต่ก่อนเสียชีวิตเพียงไม่กี่เดือน เกร็ก มอริส ได้ไปชมภาพยนต์เรื่องนี้ที่ทอม ครูซ ได้สร้างขึ้น เขาเดินออกจากโรงภาพยนต์กลางคัน พร้อมตำหนิว่าสร้างได้ “แย่มากๆ”
อย่างไรก็ตาม ทอม ครู๊ซ ก็ยังคงสร้างอีกหลายตอน และวันที่ 31 กรกฎาคม ภาพยนต์ Mission Impossible ก็จะกลับมาพบกับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งใน “ภาค 5” นำแสดงโดย ทอม ครู๊ซ พระเอกเจ้าเก่า วัย 52 ปี
แต่วันนี้ผมมีเรื่อง Mission Impossible ในโลกแห่งความเป็นจริง มาเล่าให้ฟัง เรื่องนี้นำแสดงโดยชาวอังกฤษวัย 76 ปี อาวุโสมากกว่าทอม ครู๊ซ เสียอีก พร้อมกับทีมงานอีก 8 คน ร่วมปฏิบัติการเหลือเชื่อกลางมหานครลอนดอน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้
พวกเขาร่วมกันวางแผนและใช้อุปกรณ์หนักคล้ายกับที่เราเห็นในภาพยนต์ บุกเข้าไปในอาคารย่าน Hatton Garden ซึ่งเป็นแหล่งค้าเพชรกลางมหานครลอนดอน อาคารนั้นมีตู้นิรภัยจำนวนมาก ที่พ่อค้าและคหบดีได้เช่าไว้เพื่อเก็บเพชรพลอยมูลค่ามหาศาล จากนั้นพวกเขาก็เจาะผนังชั้นใต้ดิน ที่หนาทึบเกือบ 2 ฟุต จนทะลุเข้าไปสู่ห้องบรรจุตู้นิรภัย แล้วเจาะตู้เซฟมั่นคงที่สุด ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ โจรทำงานกันข้ามวันข้ามคืน กลางมหานครลอนดอน โดยไม่มีตำรวจหรือผู้ใดรับรู้เลย จนสามารถเชิดเพชรพลอยและของมีค่าไปได้มหาศาล ในขั้นต้นคาดกันว่าน่าจะมีมูลค่าถึง 200 ล้านปอนด์ หรือ กว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท เลยทีเดียว
เรื่องเหลือเชื่ออย่างนี้ ถ้าไม่เรียกว่า “Mission Impossible” แล้วจะเรียกว่าอะไร เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างวันหยุดอีสเตอร์ หลังจากเปิดทำงาน จึงพบว่าตู้นิรภัยจำนวน 73 ตู้ ได้ถูกงัดและของมีค่าได้อันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว!
ผมติดตามการสอบสวนของตำรวจตลอดมา แต่ทุกอย่างก็ดูเงียบเชียบ ไม่มีข่าวคราวเพิ่มเติม จนกระทั่งปลายเดือนที่แล้ว (พฤษภาคม) ซึ่งผมอยู่ที่ลอนดอนพอดี เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับกุมคนร้ายได้ทั้ง 9 คน ตั้งแต่คุณปู่อายุ 76 และ 74 ปี ไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึง 59 และ 58 ปี น้อยสุด อายุ 42 ปี ด้วยอายุขนาดนี้ ชาวอังกฤษจึงเรียกโจรแก๊งค์นี้ว่า “แก๊งค์ป๊ะป๋า”
เจ้าหน้าที่แถลงว่า คนร้ายได้ตัดระบบลิฟท์ให้หยุดทำงาน แล้วไต่ลงไปทางช่องลิฟท์ จนถึงชั้นใต้ดิน นำอุปกรณ์หนักลงไปด้วย แล้วก็ลงมือเจาะผนังเสริมคอนกรีตที่มีความหนาถึง 2 ฟุต ทีละรูๆ ซึ่งก็น่าจะส่งเสียงดังมาก และกว่าจะได้ช่องขนาดใหญ่ พอให้คนรอดเข้าไปได้ ก็ต้องเจาะหลายรูและมีเสียงดังมาก แต่กลับไม่มีใครระแคะระคาย จนพวกเขาปฏิบัติการได้สำเร็จอย่างเหลือเชื่อ
แล้วตำรวจไปไหนกันหมด? สัญญาณเตือนภัยไม่ดังเลยหรืออย่างไร? คำตอบที่หน่วยสืบสวน สก็อตแลนด์ยาร์ด ได้แถลงอย่างเป็นทางการก็คือ สัญญาณได้ดังขึ้นหลังจากที่คนร้ายปฏิบัติการไปได้ 3 ชั่วโมง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับประเมินสัญญาณเตือนภัยนั้นว่า อยู่ในขั้น “ไม่ต้องตอบสนอง” จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆเลย
น่าขำไหมครับ ที่ตำรวจลอนดอนปล่อยให้คนร้ายปฏิบัติการจนสำเร็จ โดยไม่ทำอะไรเลยทั้งๆที่สัญญาณก็ดังขึ้น แต่ที่น่าขำยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บางสำนักข่าวรายงานว่าเมื่อสัญญาณดังขึ้น คนร้ายก็รีบหลบหนี แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเลย จึงตัดสินใจ “กลับไปใหม่” แล้วทำงานต่อ ข้ามวันข้ามคืนอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่มีตำรวจเข้ามายุ่ง จนปฏิบัติการ Mission Impossible สำเร็จผลเหมือนในภาพยนต์ ไม่มีผิด
ก็เรียกว่าผลงานของตำรวจครั้งนี้ ทั้งน่าเศร้าและน่าขำแหละครับ
ผมอยากจะสรุปว่า โจรชุดนี้ก็คือคนแก่ที่ไม่รู้จักพอ ใกล้ตายขนาดนี้แล้ว ยังโลภ อยากได้ทรัพย์สินเงินทองอีก ส่วนตำรวจ ก็น่าตำหนิที่ไม่รอบคอบพอ แต่ต้องชม สก๊อตแลนด์ยาร์ด ที่ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ตำรวจพลาด” ปล่อยให้โจร ปฏิบัติการอย่างสบายใจ ทำให้ Mission Impossible เรื่องนี้ ออกฉายจริง ก่อนที่ภาค 5 ของทอม ครู๊ซ จะเข้าฉายในโรงภาพยนต์เสียอีก
ใครจะรู้ ทอม ครู๊ซ อาจจะนำเรื่องจริงนี้ไปประยุกต์เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนต์ตอนต่อไปของเขาก็ได้นะ แต่คนไทยเราก็พอจะมีพล็อตดีๆ ที่น่าจะสร้างภาพยนต์ได้เช่นกัน เช่นเมื่อปี 2551 เจ้าหน้าที่ของ อตก. ที่จังหวัดเชียงใหม่ได้แจ้งความว่า ลำไยอบแห้งของ อตก. จำนวน 27,000 กล่อง มูลค่า 18 ล้านบาท ได้หายไปจากโกดังหมดเรียบทั้งโกดังราวปาฏิหาริย์ โดยไม่รู้ว่าใครมาขน และขนออกไปจำนวนมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร หรือ เมื่อปีที่แล้ว ข้าวกว่า 90,000 กระสอบในโครงการรับจำนำข้าว ก็หายไปจากโกดังที่บางกะดี่ อย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน มหัศจรรย์จริงๆ
ถ้าหากทอม ครู๊ซ ได้ยินเรื่องอย่างนี้ เขาอาจจะมาสร้าง ภาค 6 ที่เมืองไทย ก็ได้นะ
แต่ภาพยนต์เรื่อง Mission Impossible นั้น ผมคิดว่าฝรั่งตั้งชื่อไม่ค่อยถูกต้องนักหรอก เพราะทุกตอนที่สร้างขึ้นมา เมื่อถึงตอนจบทีไร ผมก็เห็นว่า “สำเร็จ” หรือ “Possible” ทุกครั้งไปนั่นแหละ! เพียงแต่เป็นภารกิจที่ยากเย็น ก็เลยตั้งชื่อให้น่าติดตามชม ว่าเป็น “ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” เท่านั้นเอง
ถ้าคิดให้ดี ผมว่าชื่อภาพยนต์เรื่องนี้ น่าจะเหมาะกับเมืองไทยที่สุดครับ เพราะเราอยากเห็นประเทศไทยที่ดีกว่านี้ในทุกภาคส่วน และก็มีผู้อาสามาปฏิบัติภารกิจนี้ หลายคนแล้ว หลายทศวรรษแล้ว ทุกคนต่างให้สัญญาว่าจะทำให้สังคมไทยเป็นเช่นนั้นจริง แต่จนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครทำได้ตามสัญญาเลย
อย่างนี้สิครับ....ถึงจะเรียกได้เต็มปากว่า Mission Impossible!