Divergence Diversity and Convergence (39) สถาบัน รัฐ ตลาด

ยุโรปกับอเมริกาคือสัญลักษณ์หรือตัวแทนของโลกตะวันตก ของโลกทุนนิยมก้าวหน้า
คนยุโรปโลกเก่าที่เป็นต้นแบบทางด้านอารยธรรมสำหรับอเมริกาย่อมต้องมองโลกใหม่ อเมริกาที่อุดมสมบูรณ์ เป็นดินแดนแห่งโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและเสรีภาพ ดูจากการอพยพไปหาโลกใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปอเมริกาเริ่มแซงหน้ายุโรปในแทบทุกด้าน และผงาดเป็นผู้นำโลก ยุโรปเลือกเส้นทางของทุนนิยมที่ต่างไปจากอเมริกา ต่างก็มีความฝันเป็นของตนเอง
American Dream นั้นเชื่อว่า อเมริกาให้โอกาสเท่าเทียมกันกับคนทุกคน (ถ้าคุณไม่ใช่คนผิวดำ) ถ้าขยันไม่เกียจคร้าน ไต่เต้าในระบบการศึกษา และเนื่องจากประเทศอุดมสมบูรณ์ คนอเมริกันไม่ไว้ใจรัฐ ไม่ต้องการเห็นขนาดของรัฐบาลที่ใหญ่เกินไป เชื่อในพลังของปัจเจกชน พลังของตลาดเสรีและการแข่งขัน คนเราจะรวยจะจนอยู่ที่ตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพราะโครงสร้างหรือระบบ ในระบบความคิดหรือความเชื่อข้างต้น คนอเมริกันให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่งคั่ง สร้างขนาดของขนมเค้กให้ใหญ่ขึ้น แม้จะทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นก็ตาม สำหรับสังคมอเมริกัน ประสิทธิภาพสำคัญมากกว่าความเสมอภาค เราถึงได้เห็นระบบสวัสดิการทุนนิยมที่เป็นแบบตลาดเสรีนิยม หรือ Liberal market economies (LMEs)
European Dream โดยเฉพาะทางฝั่งภาคพื้นยุโรปมองว่า ในสังคมสมัยใหม่มนุษย์ควรมีสิทธิทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในสิทธิมนุษยชนที่จะเข้าถึงการมีความมั่นคงในชีวิต ในการมีงานทำและได้รับความคุ้มครองที่ดีในสภาพการทำงาน การมีหลักประกันโดยรัฐทางด้านสุขภาพ ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาสังคมที่รัฐต้องมีบทบาทแทรกแซงหรือทำให้เกิดขึ้น สังคมยุโรปไม่ยอมให้รัฐยอมจำนนต่อพลังตลาด หรือยอมให้ตลาดมากำหนดชะตากรรมของผู้คนหรือความเป็นไปของชีวิต มีความเชื่อว่าโครงสร้างหรือระบบไม่ใช่ปัจเจก เป็นตัวกำหนดคุณภาพและความมั่นคงของชีวิต โดยนัยรัฐยุโรปต้องมีบทบาทมากกว่ารัฐอเมริกา เป็นระบบ Social market economies (SMEs) หรือ Coordinated market economies (CMEs)
ยุโรปและอเมริกาเลือกเส้นทางของระบบทุนนิยมที่ต่างกัน หลังจากลองผิดลองถูก วันนี้ผลที่เกิดขึ้นจากทางเลือกนี้ เป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกัน ผลลัพธ์นี้สร้างปัญหาให้กับสังคมทั้งยุโรปและอเมริกา ผลลัพธ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนาหรือเป็นอุดมคติ สำหรับยุโรปสังคมส่วนใหญ่มีความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันในระดับที่ดี คุณภาพชีวิต ความสมดุลระหว่างการมีเวลาว่างกับการทำงานใช้ได้ คนจำนวนมากดูเหมือนจะมีความสุข ท่ามกลางการก่อตัวระยะยาวของความชะงักงันของเศรษฐกิจ ที่ไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน หรือเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ คนตกงานระยะยาวในระดับที่สูงมาก ตรงกันข้ามอเมริกาสร้างความมั่งคั่งได้ดีกว่ายุโรป ใช้ศักยภาพทำให้เศรษฐกิจโตได้ แต่ต้องแลกกับความไม่เสมอภาคที่เพิ่มขึ้นสูงมาก รวมทั้งปัญหาคุณภาพชีวิตและคุณภาพสังคม
40 ปีก่อนนี้ ทั้งยุโรปและอเมริกาไม่ได้มีปัญหานี้ ทุกคนพอใจกับระบบที่แม้จะต่างกัน เพราะรายได้และสวัสดิการเพิ่มขึ้น ทุกคนมีงานทำ เงินเฟ้อต่ำ ความไม่เท่าเทียมกันไม่เป็นปัญหาสังคม แต่นี่เป็นอดีต
แน่นอนว่าฐานะทางเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปลดลงไปมากเมื่อเทียบกับ 60 ปีก่อนหน้า เป็นการลดสถานภาพที่ทำให้โลกทางเศรษฐกิจมีความสมดุลมากขึ้น ฝันของอเมริกาและยุโรปคงไม่สลายถ้าเป็นความฝันที่มีพื้นฐานจากความเข้าใจ และจากการอิงกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป อเมริกาและยุโรปไม่ใช่ขั้วของโลกที่ไร้อนาคต จากปัจจุบันที่ครองครึ่งหนึ่งของผลผลิตโลกแต่มีประชากรเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของโลก อเมริกาต้องไม่คิดว่าปัจเจกและพลังตลาดโดยตัวมันเองจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ยุโรปต้องปรับให้เกิดความสมดุลระหว่างความมั่นคงของแรงงาน ความเสมอภาค แรงจูงใจประสิทธิภาพ การแข่งขัน นวัตกรรมและความเจริญเติบโต โดยยุโรปยังสามารถดำรงซึ่งความฝันว่า ความเจริญเติบโตสามารถมาพร้อมกับความเสมอภาค การสร้างงาน และการมีชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ยุโรปมีเหนือกว่าอเมริกา
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกว่า ที่ผ่านมาระบบไหนดีกว่ากัน สังคมของสองฟากแอตแลนติกสมัครใจที่จะเลือกวิถีทางของทุนนิยม การบริหาร การพัฒนาประเทศตามความฝันของตน แต่ในทางวิชาการและผู้กำหนดนโยบาย เราจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือเหตุและปัจจัยที่ทำให้ยุโรปและอเมริกามีผลลัพธ์ในด้านต่างๆ รอบด้าน และที่สำคัญระบบสวัสดิการทุนนิยมที่ต่างกันเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญเพียงไร แค่ไหน
ในเบื้องต้นเราลองมาดูเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ความเจริญเติบโต การสร้างงาน และผลิตภาพของแรงงาน เมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุโรปและส่วนอื่นๆ ของโลกล้วนต้องการไล่กวดอเมริกาทางด้านรายได้ต่อหัว ต้องการไล่กวดให้มีความแตกต่างกันน้อยลง (Convergence) อเมริกามักถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในด้านต่างๆ โดยมีฐานเป็นร้อย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ยุโรปโดยรวมเคยมีรายได้ต่อหัวเป็นเพียงร้อยละ 40 ของอเมริกา เวลาผ่านไปเพียงประมาณ 25 ปี ช่องว่างนี้แคบลง เกิด Convergence เหลือประมาณร้อยละ 70 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่องว่างทางเทคโนโลยีที่เปิดโอกาสให้ยุโรปได้ตักตวง ยุโรปมีการรวมตัวกันในทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในระดับต่างๆ มาตลอด ผู้นำยุโรปเคยมีความคาดหวังถึงการกลับมายิ่งใหญ่ของยุโรปเมื่อมีอียูและยูโร และขนาดของอียูที่ใหญ่ขึ้น (ปัจจุบัน 28 ประเทศ) ซึ่งก็ไม่ใช่ความฝันแบบลมๆ แล้งๆเมื่อเราคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ยุโรปมีประชากรเพียง 7% ของโลก แต่มีผลผลิตถึงร้อยละ 25 แต่ต้องไม่ลืมว่ายุโรปมีการใช้จ่ายทางด้านสังคมเกือบครึ่งหนึ่งของโลก มีสัดส่วนการค้าโลกเกือบครึ่งหนึ่ง
แต่ในความเป็นจริง 40 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดอเมริกาและยุโรปต่างก็เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ แม้กระทั่งในช่วงวิกฤติจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2008-2014) อเมริกาก็ยังมีอัตราการเจริญเติบโตและการสร้างงานที่สูงกว่ายุโรป อียู 28 ประเทศ ความเจริญเติบโตของยุโรปและการสร้างงานดูดีขึ้น ในช่วงหลังการเกิดขึ้นของเงินสกุลยูโร แต่ความเจริญเติบโตนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานและเป็นภาพลวงตา ไม่ยั่งยืน เพราะเป็นผลพวงของฟองสบู่อสังหาฯ โดยเฉพาะจากสเปน อิตาลี จนเกิดวิกฤติในปี ค.ศ.2008 อัตราความเจริญเติบโตติดลบมากกว่าอเมริการวมทั้งการจ้างงานที่ลดลงมหาศาล ปัจจุบันรายได้ต่อหัวของยุโรป อียู 15 ยังอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 ของอเมริกาเหมือนเดิม มีบางช่วงต่ำกว่านี้ (ดูตารางประกอบ)
แม้โดยรวมอียู 15 ซึ่งมีประเทศขนาดใหญ่จำนวนมากของยุโรป จะมีรายได้ต่อหัวไม่ต่างจากสหรัฐเมื่อ 40 ปีก่อน แต่ถ้าดูเป็นรายประเทศจากข้อมูลของ euro stat ในช่วงปี ค.ศ.2001-2012 เราจะพบว่าประเทศที่สามารถมี Convergence เข้าใกล้สหรัฐมากขึ้น คือ ออสเตรีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เยอรมัน ไอร์แลนด์ สวีเดน สเปน และลักเซ็มเบิร์กที่เด่นที่สุด ส่วนประเทศที่เกิด Divergence คือ กรีซ อิตาลี สหราชอาณาจักร ประเทศที่ทรงๆ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส ที่มาของความแตกต่างของความสามารถในด้านความเจริญเติบโตในรายแต่ละประเทศเหล่านี้ เราจะมีโอกาสได้วิเคราะห์ในรายละเอียด โดยเฉพาะในบริบทของลักษณะเฉพาะของทุนนิยมสวัสดิการ
ในคราวต่อไปเราจะมาดูที่มาของความแตกต่างของความเจริญเติบโต เช่น ความสามารถในการสร้างงาน และผลิตภาพของแรงงาน รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ