divergence diversity and convergence สถาบัน รัฐ ตลาด (42)

divergence diversity and convergence สถาบัน รัฐ ตลาด (42)

​ยุโรปและอเมริกาต่างก็มีความหลากหลาย แต่การรวมตัวของยุโรปที่ไม่ได้ทำให้ยุโรปมีสถานภาพเป็นสหภาพทางการเมือง

หรือ political union ทำให้ความหลากหลายและความแตกต่างของยุโรปมีความยุ่งยากในการบริหารจัดการ เพราะถึงยังไงยุโรปก็ไม่ใช่ชาติเดียวกันเหมือนสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของยุโรปหรือ EU เกือบ 30 ประเทศ ไม่ได้ทำให้การเปรียบเทียบยุโรปกับอเมริกาไร้ความหมาย แน่นอนเราพบว่ามีกลุ่มประเทศผู้นำของยุโรปมีหลายๆ อย่างไม่ได้ด้อยไปกว่าอเมริกา เมื่อดูจากเครื่องชี้วัดขีดความสามารถในทางเศรษฐกิจ หรือการแข่งขัน เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศในกลุ่มแสกนดิเนเวีย หรือเราพบว่ามีกลุ่มยุโรปใต้ สเปน โปรตุเกส อิตาลี หรือกรีซ ที่ช่องว่างห่างไกลกลับอเมริกาหรือผู้นำ EU ด้วยกันเองอย่างเทียบกันไม่ติด เมื่อเราต้องวัดขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน เราก็พบว่าประเทศ EU ใหม่ หรือกลุ่มยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก ในฐานะประเทศเกิดใหม่ เต็มไปด้วยพลังและพลวัต ต้องการและกำลังไล่กวดไปเรื่อยๆ ทั้ง EU ด้วยกัน และสหรัฐอเมริกา

ดูเหมือนว่า EU ที่ผ่านมาเป็นจักรกลสำคัญที่ทำให้ความแตกต่างของยุโรปแคบลง เป็น convergence machine แต่โลกของ EU โดยรวม ถึงอย่างไรก็ยังต่างกับอเมริกา เมื่อพูดถึงความสามารถในการเป็นสังคมที่มีพลวัตสูงทางนวัตกรรม หรือเป็น innovation machine ยุโรปโดยรวมยังเป็นสังคมที่ต่างกับอเมริกาค่อนข้างมาก ทั้งในอดีตและปัจจุบันในทางสถาบัน

​อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญ  ก่อนหน้านี้เราได้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ยุโรปเริ่มตามหลังอเมริกา ทางด้านการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพ โดยเฉพาะผลิตภาพรวม หรือ Total Factor Productivity (TFP) ในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมานั้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทในยุโรปต่างกับบริษัทอเมริกัน ยุโรปไม่สามารถเข้าร่วมและดูดซับอย่างเต็มที่เหมือนอเมริกา ผลของเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ(Information Telecommunication Technology) โดยที่สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดภาคบริการของยุโรปยังไม่สามารถผนึกรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว จึงทำให้ตลาดมีขนาดเล็ก ขาดประสิทธิภาพ เมื่อเทียบกับของอเมริกา อเมริกาจึงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการจ้างงานและด้านผลิตภาพสูงกว่ายุโรป แต่นี่เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

​ในทัศนะของผู้เขียน ถ้ามองอย่างเป็นองค์รวม สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เกื้อกูลต่อการเกิดนวัตกรรม ในทุกระดับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ธุรกิจ หรือสถาบันการศึกษา สังคมที่เกื้อกูลต่อการเกิดนวัตกรรมนั้น จะต้องเป็นสังคมที่ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในฐานะผู้บริโภค หรือรัฐ หรือผู้ผลิต จะต้องให้คุณค่าความสำคัญหรืออุดมการณ์ของการแข่งขัน การให้สำคัญของกลไกหรือพลังตลาดซึ่งในประเด็นนี้อเมริกา มีมากกว่ายุโรป

ถ้าเราจะประยุกต์ความคิดของ Joseph Schumpeter เรื่อง creative destruction หรือการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ ที่บริษัทหรือผู้ผลิตอาจจะต้องล้มหายตายจาก แต่มีผู้ผลิตรายใหม่ที่เหมาะสมหรือมีความสามารถมากกว่าเข้ามาทดแทน โดยที่ผลลัพธ์สำหรับส่วนรวมจะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์สังคม ได้สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือกระบวนการผลิต เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ ในเชิงนวัตกรรม มีผลต่อคุณภาพชีวิต แน่นอนว่าในอดีตเศรษฐกิจอเมริกันมี creative destruction สูงกว่าของยุโรป ซึ่งในที่สุดส่งผลให้บริษัทอเมริกัน มีการทำนวัตกรรมมากกว่าบริษัทในยุโรป

มีหลักฐานจำนวนมากที่สนับสนุนความเชื่อข้างต้น ไม่ต้องดูอื่นไกล เมื่อเทียบหนึ่งพันบริษัทขนาดใหญ่ของโลกที่ทำโดย Financial Times หรือ Fortune ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จะพบความแตกต่างของบริษัทอเมริกาและยุโรปค่อนข้างชัดเจน แน่นอนว่า บริษัทขนาดใหญ่ของอเมริกา มีสัดส่วนสูงกว่ายุโรปค่อนข้างมาก คือประมาณ 1 ใน  3 แต่ของยุโรปประมาณร้อยละ 18  แต่ที่น่าสนใจคือ ในกรณีของบริษัทอเมริกันนั้น สัดส่วนของบริษัทที่ก่อตั้งหลังปี ค.ศ.1950 จะสูงถึงกว่าร้อยละ 35 แต่ของยุโรปมีเพียงแค่ร้อยละ 14 บริษัทของยุโรปส่วนใหญ่จึงเป็นบริษัทเก่าแก่ แต่ของอเมริกามีบริษัทใหม่ๆ จำนวนมาก เก่าเลิกกิจการ ใหม่เข้ามาแทนที่ ในกรณีของอเมริกา ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อเราดูบริษัทในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ที่เป็นบริษัทขนาดยักษ์ของโลกเช่น Microsoft, Sun, Ebay, Google, Apple ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทที่ตั้งในช่วงทศวรรษที่1970 เป็นต้นมาทั้งสิ้น ก่อนปี 1995 ไม่มี Google 10 ปีต่อมา Google เข้าตลาดหลักทรัพย์ เสนอขายหุ้นให้กับประชาชน ตีมูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีก 10 ปีต่อมา มูลค่าตลาดของ Google เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่า ปัจจุบันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2015 มูลค่าตลาด อยู่ที่ 478 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นที่สองรองจาก Apple ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 700 พันล้านเศษๆ 

ตัวอย่างข้างต้นนี้บอกถึงอะไร ในกรณีของบริษัทที่กล่าวมาข้างต้น มันบอกว่าในกรณีของบริษัทอเมริกัน นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทำในอเมริกาจำนวนมาก เป็นนวัตกรรมประเภทการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่อย่างถอนรากถอนโคน หรือที่เรียกว่า Radical innovation ซึ่งบ่อยครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงพรมแดนของตลาดหรืออุตสาหกรรม เป็นอุตสาหกรรมหรือการลงทุนที่ใช้เวลายาวนานในการให้ดอกผลตอบแทน มีความเสี่ยงสูง ต้องการทัศนคติหรือวัฒนธรรมของการรักความเสี่ยง ยินดีรอคอย ยอมรับและอดทนต่อการสูญเสียหรือสูญเปล่า โครงสร้างของอุตสาหกรรมจำนวนมากในอเมริกา ที่มีนวัตกรรมสูงจำเป็นต้องมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) มักจะอยู่ในอุตสาหกรรม ที่ต้องการการลงทุนทางด้านความรู้และการวิจัย และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งมักจะได้แก่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และบริการ เซมิคอนดัคเตอร์ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ อินเทอร์เน็ต อุตสาหกรรมการบินอากาศยาน อุตสาหกรรมยา อุปกรณ์และบริการทางการแพทย์ เป็นต้น

ขณะที่ยุโรปเน้นการผลิตในอุตสาหกรรมดั้งเดิม ที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง ต้องการ R&D ที่ไม่สูง เช่น รถยนต์ ยานพาหนะภาคการขนส่ง เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกล ฯลฯ