Trans-Pacific Partnership (TPP) มุมมองจากด้านญี่ปุ่นมายังไทย

Trans-Pacific Partnership (TPP) เป็นข้อตกลงที่มีวิวัฒนาการมาจาก Trans-Pacific Strategic Economic
Partnership ระหว่างบรูไน ชิลี นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ ที่ลงนามกันในปี 2005 โดยมีเนื้อหาครอบคลุมการค้าในรูปสินค้า หลักเกณฑ์ว่าด้วยแหล่งกำเนิด การบรรเทาผลกระทบทางการค้า สุขอนามัย และสุขอนามัยพืช อุปสรรคเชิงเทคนิคทางการค้า การค้าในรูปบริการ ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐบาล และเหนืออื่นใด การลดภาษีศุลกากรลงร้อยละ 90 ของรายการสินค้า ในปี 2006 และยกเลิกทั้งหมดในปี 2015
ในปี 2008 สหรัฐอเมริกาแสดงความเห็นด้วยที่จะเข้าร่วมเจรจา และสามารถบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ 5 ต.ค.2015 ที่ผ่านมานี้ โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 12 ประเทศ และเนื้อหาได้ขยายออกไปให้ครอบคลุมเพิ่มเติมในเรื่องการแข่งขันทางการค้า ความร่วมมือและการยกระดับขีดความสามารถ พิธีการศุลกากร การบริการข้ามเขตแดน อี-คอมเมิร์ซ สิ่งแวดล้อม การเงิน การลงทุน แรงงาน การเข้าถึงตลาด โทรคมนาคม และสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม
ข้อตกลงนี้จะมีการลงนามกันในเดือน ม.ค.2016 หลังจากนั้น แต่ละประเทศจะต้องนำกลับไปขอความเห็นชอบตามขั้นตอนของแต่ละประเทศภายใน 2 ปี ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้ ก็ต่อเมื่อมีประเทศที่ได้รับความเห็นชอบโดยมี GDP รวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 ของ GDP โดยรวมของประเทศสมาชิกที่ลงนาม ซึ่งหมายถึงว่า สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ขาดไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ประเทศหนึ่งประเทศใดในบรรดาประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย และเม็กซิโกก็ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกัน
ในการเจรจาข้อตกลงนี้ ประเทศสมาชิกต่างก็พยายามเจรจาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สินค้าส่งออก หรือเรื่องสำคัญของแต่ละประเทศ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่า ย่อมสามารถต่อรองในสิ่งที่ตนเองต้องการได้มากกว่า เช่น นิวซีแลนด์อาจจะต้องการเรื่องนม แต่ประเทศอื่นสนใจเรื่องรถยนต์และยามากกว่า เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย การบรรลุข้อตกลงในเรื่องเหล่านี้ได้ จึงทำให้การเจรจาเรื่องอื่นๆ ตกลงกันได้ด้วย แต่นิวซีแลนด์กลับไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นในเรื่องนมเลย
ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐอเมริกากล่าวกันว่า ในการตกลงครั้งนี้ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือ ประมาณ 120 พันล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณกว่าร้อยละ 2 ของ GDP ในปี 2025 ในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาจะได้เพียงประมาณ 77 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น แต่สาเหตุที่สหรัฐอเมริกาให้ความสนใจกับข้อตกลงนี้ก็คือ การทำให้เอเชียแปซิฟิกเป็นบริเวณที่การค้ามีความเสรีมากขึ้น และสหรัฐอเมริกาสามารถเข้าถึงตลาดในบริเวณนี้มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็สามารถกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อที่จะปกป้องการลงทุน และทรัพย์สินทางปัญญาได้มากขึ้น
ในตารางที่ 1 ร้อยละของปริมาณการค้าที่ครอบคลุมโดย FTA ที่ไม่รวม TPP แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการค้าภายใต้ FTA ต่ำที่สุด ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังประเทศ TPP มีร้อยละ 31 ของการส่งออกรวม และสัดส่วนการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศ TPP เป็นร้อยละ 45 ของการลงทุนต่างประเทศโดยรวม ญี่ปุ่นจึงจำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อให้บรรลุ TPP
ศาสตราจารย์ ซูซูกิ โนบุฮิโร มหาวิทยาลัยโตเกียว ได้ทำการคำนวณการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการทางเศรษฐศาสตร์ของ FTA ต่างๆ (ตาราง 2)จะเห็นได้ว่า TPP จะสร้างการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการทางเศรษฐศาสตร์ได้น้อยที่สุด โดยเฉพาะการที่สหรัฐอเมริกาไม่ยอมลดภาษีศุลกากรรถยนต์ในระยะเวลาอันสั้น แต่ใช้เวลาถึง 25 ปี นอกจากนี้ การไม่ยกเลิกภาษีศุลกากรสินค้าเกษตร แต่กำหนดโควตาการนำเข้าแทน ทำให้ผู้บริโภคต้องบริโภคสินค้าเกษตรในราคาแพงจากสหรัฐอเมริกา แทนที่จะบริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน
แม้ว่าตัวเลขการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการทางเศรษฐศาสตร์ของศาสตราจารย์ ซูซูกิ สำหรับ FTA อื่นๆ จะดีกว่า TPP ก็ตาม สิ่งที่ควรระลึกถึงในกรณีนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสวัสดิการนี้ เกิดขึ้นจากสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นในฝั่งผู้บริโภคข้างหนึ่ง หักล้างด้วยสวัสดิการที่ลดทางฝั่งผู้ผลิตอีกข้างหนึ่ง ผลลัพธ์สุทธิที่ได้อาจจะมาก แต่ความลำบากทางฝั่งผู้ผลิตที่สูญเสียอาชีพ หรือประสบความเสียหาย อาจจะกลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์ของการเจรจา TPP ของญี่ปุ่น อยู่ที่ความพยายามในการรักษาปริมาณของผลผลิตสินค้าทางเกษตรในปัจจุบันไว้ให้มากที่สุด และปล่อยให้พฤติกรรมของการบริโภคสินค้าเกษตรนำเข้าเป็นไปในลักษณะเดิมๆ กล่าวโดยง่ายคือ รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามเจรจาให้ได้ผลออกมาในลักษณะที่อุปสงค์และอุปทาน มีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ชัดเจนทางสังคมน้อยที่สุด เพราะว่าความเดือดร้อนจากการบริโภคสินค้าเกษตรราคาแพง ไม่ได้เกิดเป็นรูปธรรมนั่นเอง
ข้อมูลในตารางที่ 3 แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าการผลิตข้าวจะมีแนวโน้มลดลงในอนาคต แต่การบริโภคข้าวกลับมีแนวโน้มลดลงมากกว่า เนื่องจากประชากรมีแนวโน้มลดลง และพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นแบบตะวันตกมากขึ้น โดยสามารถดูได้จากแนวโน้มการบริโภคข้าวสาลีที่เพิ่มขึ้น แม้กระนั้นก็ตาม แนวโน้มการพึ่งพาตนเองเรื่องข้าวกลับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากข้าวถือเป็นนโยบายทางการเมือง ที่ต้องการฐานคะแนนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแถบโยเอทสึเป็นหลักมานมนาน โดยการอ้างเอาเหตุผลความมั่นคงทางอาหารในยามสงคราม เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลจะรับซื้อข้าวในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ตามปริมาณข้าวนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสมดุลของอุปสงค์อุปทาน โดยจะนำข้าวที่รับซื้อไปใช้เป็นอาหารสัตว์ในอนาคต ที่จริงแล้วราคาข้าวในญี่ปุ่นได้ตกลงมาเรื่อยๆ ตามการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การผลิตลดลง เนื่องจากรายได้ของการเกษตรสาขาอื่นๆ บางสาขาและอุตสาหกรรมเริ่มมีรายได้ที่ดีกว่า
เมื่อดูแนวโน้มของถั่วเหลืองแล้ว จะเห็นว่าการผลิตและการบริโภคจะลดลง โดยที่สัดส่วนการพึ่งพาตนเองอยู่ในระดับต่ำและค่อนข้างคงที่ เช่นเดียวกับข้าวสาลี การผลิตผัก นม และเนื้อวัว คงมีแนวโน้มเช่นเดียวกันคือ การลดลงตามการนำเข้าที่จำเป็นจะต้องยอมให้มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปริมาณนำเข้าเนื้อวัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก และสูงเกินกว่าระดับการผลิตภายในประเทศตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ผลจากการนำเข้านี้ทำให้รายได้ภาคการเกษตรสาขาต่างๆ ลดลง จนเหลือเพียงการทำนาเป็นอาชีพหลัก การปลูกข้าวเป็นพืชไร่ในฮอกไกโด การเลี้ยงหมู และการเลี้ยงไก่เท่านั้นที่สามารถคงรายได้ในระดับสูงประมาณ 1,400 เยนต่อชั่วโมง