มองสังคมไทยตามความจริงอย่างวิพากษ์วิจารณ์

มองสังคมไทยตามความจริงอย่างวิพากษ์วิจารณ์

มองสังคมไทยตามความเป็นจริงอย่างวิพากษ์วิจารณ์ อย่ามองด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบศรัทธา เลือกข้าง

และหวังว่าผู้นำที่ตนชื่นชอบจะแก้ปัญหาทุกอย่างให้คุณได้

สังคมไทยที่เป็นจริงเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามประวัติศาสตร์ พัฒนาการของระบบเศรษฐกิจการเมือง ที่มีรากฐานมาจากระบบเจ้าขุนมูลนาย และทุนนิยมผูกขาดที่เป็นบริวาร

ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนมีอำนาจ คนรวย และประชาชนทั่วไป เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของตัวระบบเศรษฐกิจการเมือง และชนชั้นผู้ปกครอง ทั้งเจ้าที่ดินใหญ่ ขุนศึก ขุนนาง นายทุน และเทคโนแครต-นักวิชาการ นักบริหารมืออาชีพที่เป็นบริกรรับใช้พวกเขา

ที่ผ่านมา ชนชั้นปกครองไม่ว่าจะมาจากการสืบตระกูล การแต่งตั้ง การเลือกตั้ง จะโกงมากแบบเห็นชัดหรือโกงน้อยแบบแนบเนียน พวกเขามักทำเพื่อตัวเองและพวกของเขามากกว่าเพื่อประชาชน ต่างกันแต่รูปแบบ จุดยืนไม่ได้ต่างกัน

การที่ขุนศึกยึดอำนาจได้ในขณะนี้ โดยประชาชนไม่คัดค้าน หรือส่วนหนึ่งยังชื่นชมได้นั้น ก็เพราะว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดก่อน โกงและรวบอำนาจ สร้างปัญหาความขัดแย้ง และความปั่นป่วนในบ้านเมืองมาก จนการเมืองขาดความสมดุล

ขุนศึกและขุนนางที่ยึดอำนาจรัฐ ต่างก็เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์การเมือง และสังคมวัฒนธรรมแบบอำนาจจารีตนิยมที่ล้าหลัง ห่างไกลจากการเป็นผู้นำ นักบริหารในโลกศตวรรษที่ 21 มาก

พวกเขาอาจยังขาดทั้งความรู้และความสามารถในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองของประเทศ หรือแม้แต่การแก้ปัญหาทุจริตฉ้อฉลทั้งระบบ แม้ว่าผู้นำของพวกเขาจะดูเหมือนว่าตั้งใจดี ขยันพูด และขยันให้สัญญา

แต่กลุ่มที่ถูกโค่นไป และฝ่ายสนับสนุนพวกเขาที่อ้างแต่คำว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง และอ้างว่าถ้ารีบร่างรัฐธรรมนูญ และจัดการเลือกตั้งใหม่ เราจะได้รัฐบาลที่จะแก้ปัญหาประเทศได้ดีกว่าที่ผ่านมาและเป็นอยู่ ก็ฝันแบบไม่สมจริงเช่นกัน

นักเลือกตั้งคือชนชั้นนำที่พอได้อำนาจรัฐ ก็มุ่งจะหาผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ต่างจากชนชั้นนำกลุ่มขุนศึกขุนนาง ที่มีอำนาจและใช้อำนาจมากไป จนประชาชนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบถ่วงดุลได้

ขณะนี้ประชาชนดูเหมือนจะมีทางเลือกน้อยมาก ประชาชนกลุ่มที่มีการศึกษา และหรือมีทัศนะวิพากษ์วิจารณ์หน่อย ต่างพากันเบื่อทั้งพวกตะแบงปกป้องรัฐบาลเก่า เบื่อทั้งผู้นำประเภทคิดและทำงานแบบขุนนางที่เก่งทอล์คโชว์ พูดแก้ตัว หรือพูดปัดๆ ไปวันๆ

เบื่อเทคโนแครต นักร่างรัฐธรรมนูญที่ชอบเสนอของใหม่แบบลองผิดลองถูก เบื่อนักเลือกตั้งที่วิจารณ์ฝ่ายอื่น โดยไม่ได้เสนออะไรใหม่ๆ เบื่อคนมีตำแหน่ง มีอำนาจชอบพูดเรื่องปฏิรูป แต่ไม่เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมชัดเจนว่า จะต้องปฏิรูปอะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่ออะไร เพื่อใคร

แต่นักศึกษา ครู ประชาชน ส่วนที่ผมได้มีโอกาสไปสัมมนาแลกเปลี่ยนด้วยในหลายจังหวัด ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาคงสนใจอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากมีส่วนแก้ไขปัญหา เรียกร้อง ต่อรอง สร้างสรรค์ให้สังคมไทยเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น โดยไม่เลือกข้างหรือไม่สนับสนุนใคร 100% แบบไม่มีข้อวิจารณ์

ประเด็นสำคัญคือ เราจะช่วยกันอภิปรายให้ประชาชนส่วนใหญ่สนใจการเมืองภาคประชาชน มองการเมือง มองชนชั้นนำไทยอย่างวิพากษ์วิจารณ์เป็นจริง ว่าธาตุแท้พวกเขาเป็นอย่างไร มีจุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร อำนาจที่พวกเขามีหรือยึดได้ไปเป็นอำนาจในเชิงเปรียบเทียบ ที่ขึ้นอยู่กับการยอมรับของประชาชนบางส่วนด้วย อำนาจไม่ว่าจะจะดูใหญ่โตแค่ไหน ในโลกที่เป็นจริงก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้พิสูจน์มาแล้วว่าไม่มีคนที่ใช้แต่อำนาจอย่างเดียวจะอยู่ได้ตลอดไป ไม่ว่าอำนาจนั้นจะหนุนหลังโดยทหาร กฎหมาย หรือการล่อลวงให้เชื่อก็ตาม

ประชาชนก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน แม้แต่ประชาชนพม่าที่อยู่ภายใต้อำนาจทหารและถูกปิดกั้นจากเสรีภาพ การศึกษา และข้อมูลข่าวสารมา 50 ปี ก็ยังรู้จักเลือกตั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่ไม่ใช่นักธุรกิจการเมือง ประชาชนในอีกหลายๆ ประเทศ ก็ได้เรียนรู้การรวมตัวกันเรียกร้องต่อรองพวกชนชั้นนำได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

อยากให้ประชาชนไทยเลิกมองแบบเลือกข้างชนชั้นนำกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบขาวกับดำ และพยายามมองสังคมไทยตามความเป็นจริงอย่างวิพากษ์วิจารณ์ โดยการสร้างเจตจำนงในแง่ดี ว่าประชาชนไม่พยายามศึกษาหาหนทางที่จะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อส่วนรวมอย่างจริงจัง ประเทศไทยในปีต่อๆ ไปจะยิ่งปัญหาเพิ่มขึ้น จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมและแข่งขันสู้ประเทศอื่นไม่ได้ และชีวิตคนส่วนใหญ่ที่ยากจนจะยิ่งตกต่ำลง

ปัญญาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองควรจะช่วยกันศึกษาปัญหาประเทศไทยอย่างเจาะลึก วิพากษ์วิจารณ์เพิ่่มขึ้น และช่วยกันทำให้ประชาชนไทยส่วนใหญ่ฉลาด รู้เท่าทันพวกชนชั้นนำ (ทุกฝ่าย) มากขึ้น มีการจัดตั้งกลุ่มศึกษา กลุ่มทำกิจกรรม องค์กรภาคประชาชนเพิ่มขึ้น ประชาชนจึงจะสามารถเรียกร้องต่อรองชนชั้นนำได้มากขึ้น และพบหนทางที่จะปฏิรูปหรืออย่างน้อยแก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ดีขึ้น