คิดไม่ได้ คิดไม่เป็น: ความอ่อนแอของการศึกษาและสังคมไทย

คิดไม่ได้ คิดไม่เป็น: ความอ่อนแอของการศึกษาและสังคมไทย

ปัญหาสำคัญของการเรียนรู้ในโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา ไม่กล้าที่จะ“คิด”

 อะไร จึงทำให้กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริงไม่เกิดขึ้น

เงื่อนไขหลักที่ทำให้นักเรียน นักศึกษา ไม่กล้าที่จะ คิดก็เพราะความกลัวที่จะถูกมองว่า ผิด จึงทำให้พวกเขามักจะพูดตามที่ได้รับการบอกเล่า พูดกันทั่วไปมาว่าเป็นสิ่งที่เป็นอยู่จริง สิ่งที่บอกกันว่า ถูกต้องแล้ว ดีงามแล้ว เหมาะสมแล้ว เพื่อที่จะทำให้ตนเองไม่ต้องเสี่ยงอะไรกับการพูด หรือคิด “ผิด”

เป็นเรื่องตลกอย่างมาก ที่พวกเขามักจะพูดซ้ำสิ่งที่ผู้ใหญ่ในสังคมพูด โดยที่ไม่ได้พยายามไตร่ตรองอะไรเลย เช่นคำกล่าวโง่ๆ ทำนองว่า “วัยรุ่นไทยปัจจุบันมีความคิดเป็นของตัวเอง กล้าคิด กล้าแสดงออก” ทั้งที่ในความเป็นจริง คำพูดของผู้ใหญ่ที่พูดทำนองนี้ ก็เป็นการพูดโดยที่คิดอะไรไม่เป็น และที่สำคัญหากพวกเขา/นักศึกษาใคร่ครวญสักนิด จะพบว่าวัยรุ่นไทยไม่เคยคิดอะไรเป็นของตนเอง และหากจะกล้าแสดงออกอยู่บ้าง ก็เป็นแค่เรื่อง “เต้น รำ ร้อง” แบบที่ทำเป็นกิจกรรมหลักในงานประจำปีของโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเท่านั้น คนปากจัดบางคนถึงกับกล่าวว่า วัยรุ่นไทยกล้าแสดงออกได้แค่โชว์ “อก เอว ตูด” เท่านั้น จะหาการแสดงออกที่มีสาระได้น้อยจริงๆ

ความกลัวที่จะ ผิดจึงทำให้ไม่สามารถที่จะเรียนรู้เรื่องราวทุกเรื่อง ที่จะเอื้อต่อการใช้ชีวิตได้เลย การเรียนรู้ทางวิชาการก็จะจำกัดตัวอยู่แค่การนำมาจากตำราที่เชื่อกันแล้วว่า ถูกต้อง รายงานที่ต้องทำส่งจึงทำแต่การคัดลอกจากงานเขียนอื่นมาแปะรวมๆ กัน คำถามในห้องเรียนจึงไม่เคยมีการตอบข้อสอบก็เป็นแค่การเก็งว่าคนตรวจจะชอบแบบไหน การเรียนกวดวิชาก็เป็นเพียงการเรียน“ทักษะ”ในการกาข้อสอบ (เพราะครูกวดวิชาจะเน้นแค่นี้ และนักเรียนก็ชอบแบบนี้ จึงเป็นเรื่องของผีเน่ากับโลงผุที่ประกอบกันอย่างเหมาะสม)

ความกลัวที่จะ ผิดจึงทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะลองประกอบสร้าง ความรู้ใหม่ ส่งผลต่อเนื่องไปสู่การที่จะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า ความหมายของ“ความรู้”คืออะไร (สงสัยเลยเถิดต่อไปว่า ครูร้อยละเท่าไร จะรู้และเข้าใจความหมายของ“ความรู้”)

ความกลัวที่จะ ผิดจึงทำให้พวกเขาต้องแสดงตัวตลอดเวลาว่า เขาผิดไม่ได้ ผิดไม่เป็น ซึ่งทำให้นอกจากไม่กล้า“คิด”แล้วพวกเขาก็จะไม่ยอม“รับผิด”ใดๆ หากถุกว่า“ผิด” ก็จะตะแบงไปจนสีข้างถลอก แม้กระทั่งวัยรุ่นที่ฆ่าคนตาย ก็ยังอุตส่าห์หน้าด้านอ้างว่า “เขาทำตามความยุติธรรมของเขาเอง”

คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมารับภาระสังคมไทยในอนาคต ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในระบอบอารมณ์ความรู้สึก กลัวผิด คิดไม่ได้ คิดไม่เป็นแล้วสังคมไทยจะเดินทางไปทางไหนได้

สังคมไทยสมัยใหม่ถูกสถาปนาขึ้นด้วย “อำนาจ” ที่ถูกผูกขาดไว้อย่างเป็นลำดับชั้น ลดหลั่นกันไปในระบบที่อำนาจถักสานกันเป็นสายใยแห่งความหมายได้สร้างแบบแผนของ “เป้าหมายชีวิตที่ดี” เอาไว้ พร้อมกับสร้าง “แรงจูงใจ แรงปรารถนา” ให้ดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายนั้น

“เป้าหมายชีวิตที่ดี” ที่ถูกสถาปนาไว้ ฝังเอาไว้ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน คือชีวิตที่เข้าไปมีส่วนแบ่งของอำนาจ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ได้ “แรงจูงใจ แรงปรารถนา” จึงกลายเป็นเรื่องที่จะต้องทำตามเส้นทางที่ระบอบของอำนาจกำหนดเอาไว้ ซึ่งก็คือการยอมทำตามสิ่งที่ “อำนาจ” ต้องการให้ทำ และต้องการให้เป็น

“อำนาจ” ที่กำกับทั้งสังคมนี้ กำกับแรงกล้ามากในระบบการศึกษาครูบาอาจารย์ทุกระดับ จึงเป็นพลังหลักในการจรรโลง “ระบบคิดไม่ได้ คิดไม่เป็น” ไว้คงมั่นกับสังคมไทย สถาบัน องค์กรที่เกี่ยวพันกับครูทุกระดับ จึงไม่เคยรู้รสของประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะ “ประชาธิปไตย” จะทำให้คน “คิดเป็น คิดได้” ซึ่งจะก่อความสั่นสะเทือนแก่ระบอบของ “อำนาจ” ที่ตนเองมีส่วนแบ่งอยู่

สังคมโปรดอย่าไปหวังกับการปฏิรูปการศึกษาที่กล่าวกันในปัจจุบันเลย เพราะระบอบของ อำนาจที่ครอบงำสถาบันและองค์กรการศึกษาทั้งหลาย ไม่เปิดช่องให้เกิดการ คิดต่างอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์การคิด

ทางรอดทางเดียวที่พอจะเห็นได้ ก็คือนักเรียน นักศึกษา จะต้องตระหนักว่า ตนเองตกอยู่ในบ่วงกรรมของ “คิดไม่ได้ คิดไม่เป็น” และปรารถนาที่จะ “คิดเป็น คิดได้” จากนั้นจึงเริ่มก่อร่างสร้างการเรียนรู้ร่วมกันผ่านสื่อทางสังคม

หากนักเรียน นักศึกษาไม่เริ่มเป็นผู้กระทำการในวันนี้ นักศึกษาทั้งหลายก็จะมีค่าเป็น “ไส้ติ่ง” ที่จะตัดทิ้งเสียก็ได้ หรือจะปล่อยให้ห้อยดุกดิกต่อไปก็ได้อีก

หากว่าอยากจะเป็นไส้ติ่งก็ตามใจเถอะครับ