100ปี “ดร.ป๋วย อึ๊งอากรณ์” กับการปฏิรูปประเทศไทย

การจัดงาน 100 ปี “ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์” ที่ยูเนสโก-องค์กรว่าด้วยการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
ให้การยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญของไทยและโลกในปีนี้ รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้มีบทบาทเท่าที่ควร มีแต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเครือข่ายเป็นผู้จัด ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ ที่คนทั้งชาติควรจะได้ทราบและเกิดความภาคภูมิใจร่วมกัน
การจัดงานรำลึกถึง ดร.ป๋วย นอกจากเพื่อยกย่องเชิดชูคนสำคัญที่ทำประโยชน์ให้ประเทศไทยที่เยาวชน ประชาชนไทยควรได้เรียนรู้เป็นตัวอย่างแล้ว กิจกรรมการจัดงานรำลึกต่างๆ จะมีความหมายต่อการพัฒนาสังคมในปัจจุบันมากขึ้น ถ้าเราเน้นว่าในยุคที่ประเทศไทยยังมีปัญหาต้องการปฏิรูปอย่างมากนี้ ดร.ป๋วยเป็นทั้งตัวอย่างนักปฏิรูปและแนวคิดการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การพัฒนาชนบท ที่เคยเสนอไว้นั้นยังทันสมัย เพราะประเทศไทยจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ดร.ป่วยคือนักปฏิรูปตัวจริง
ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยังไม่ค่อยรู้ว่าจะแก้ปัญหา หรือปฏิรูปประเทศอย่างไร ลองกลับไปอ่านผลงานและข้อเขียนของดร.ป๋วย เป็นการเริ่มต้น เราก็พอจะมีรัฐบาลที่ฉลาดกว่าที่เป็นอยู่
คนส่วนใหญ่รู้จักดร.ป๋วย ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและนักเศรษฐศาสตร์ ผู้ทั้งซื่อสัตย์สุจริต และมีความรู้ความสามารถสูง มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงปี 2514 แต่บทบาทที่สำคัญกว่าผู้ว่าการธนาคารชาติและนักเศรษฐศาสตร์ คือบทบาทของนักการศึกษาและปัญญาชนที่เรียกร้องผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมให้เป็นธรรม และมีความเป็นมนุษย์ โดย ดร.ป๋วยเสนอให้มีการกระจายทรัพย์สินและรายได้ให้เป็นธรรม ด้วยการเก็บภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน ภาษีรายได้ในอัตราที่ก้าวหน้า และการปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาชนบทให้เข้มแข็งอย่างจริงจังมาตั้งแต่ 40-50 ปีที่แล้ว
ดร.ป๋วยเป็นคนดี เป็นนักเสรีนิยมที่รักเสรีภาพ ประชาธิปไตย เป็นนักมนุษยธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เปรียบเทียบกับข้าราชการชั้นสูง ปัญญาชนไทยคนอื่นๆ ดร.ป๋วยเป็นปัญญาชนคนที่มีพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลง และมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด ไม่เคยมีปัญญาชนนักวิชาชีพระดับสูงคนไหนที่จะกล้ายอมรับเหมือนอย่าง ดร.ป๋วย ว่าเขาควรจะตำหนิตัวเองในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาแบบเถรตรง ชนิดที่สนใจแต่เฉพาะอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และมองข้ามปัญหาทางสังคมที่เป็นผลตามมา
นั่นก็คือเหตุผลที่ ดร.ป๋วยลาออกจากผู้ว่าธนาคารชาติ มาเป็นคณบดีและอาจารย์ เพื่อปฏิรูปการศึกษาและสังคม ซึ่งท่านเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่งกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ปัญหาของประเทศไทยคือมีน้อยคนที่จะเอาใจใส่รับฟังแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคม ที่ ดร.ป๋วยพยายามเสนอและผลักดัน คือชนชั้นสูงที่หัวเก่า จารีตนิยม เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว ก็ไม่ฟังเขา และช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 ถึง 6 ตุลาคม 2519 พวกนักศึกษาปัญญาชนที่หัวก้าวหน้า ไปทางสังคมนิยมแนวปฏิวัติ ก็ไม่ฟัง ดร.ป๋วย ซึ่งมีแนวคิดเชิงปฏิรูปแนวทางสันติประชาธรรม (เป็นประชาธิปไตย เป็นธรรม อย่างสันติ) และรัฐสวัสดิการ
ทั้งๆ ที่ถ้าสังคมไทยฉลาดพอที่จะรับฟัง ดร.ป๋วยตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคม 2516 เราอาจจะปฏิรูปประเทศได้ตั้งแต่ 40 กว่าปีที่แล้ว อาจจะไมจำเป็นต้องต้องเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างทหาร รัฐ และพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ขยายตัวมากในช่วงปี 2519-2523 และสวิงกลับมาเป็นทุนนิยมสุดโต่งหลังปี 2524 จนนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำปี 2540 ปัญหาระบอบทักษิณ การทุจริตขนาดใหญ่ การขัดแย้งแบบ 2 ขั้วสุดโต่ง และปัญหาอื่นๆ อีกมากมายตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน
ภายหลังเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาปัญญาชน 6 ตุลาคม 2519 และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ปัญญาชนก้าวหน้าพบกับความผิดหวังและแตกตัวมาจากการนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในราวปี 2522-2523 ความคิดของ ดร.ป๋วยในเรื่องการสร้างสังคมประชาธรรมโดยสันติวิธี ก็ได้รับการหยิบยกมาพิจารณาด้วยความสนใจบ้าง ในหมู่ปัญญาชนรุ่นใหม่ที่ผิดหวังทั้งจากระบบทุนนิยมและทฤษฎีมาร์กซิสม์ แต่ก็เป็นความสนใจของคนกลุ่มน้อย และสนใจแบบเคารพนับถือในตัวบุคคล มากกว่าจะนำความคิดของ ดร.ป๋วยมาศึกษา วิพากษ์วิจารณ์ และพัฒนาต่ออย่างจริงจัง
สังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนจากความขัดแย้งแบบซ้ายกับขวาในยุคก่อน มาเป็นกลุ่มที่ขัดแย้งกัน 2 ขั้วสุดโต่ง เช่น แดงกับเหลือง เป็นการขัดแย้งแบบเลือกข้างชนชั้นนำกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากกว่าที่จะมีแนวคิดในการพัฒนาแก้ไขปัญหาของประเทศที่ต่างกัน เพราะทุกค่ายทั้งกลุ่มทักษิณ ประชาธิปัตย์ รวมทั้งรัฐบาลคสช. ก็มีกรอบคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุนกันทุกค่าย สนใจการถลุงใช้ทรัพยากร การค้า การบริโภค และนโยบายประชานิยม ที่ทำให้ประชาชนเป็นหนี้และเป็นทาสของระบบทุนนิยมแบบสุดโต่ง มากกว่าการพัฒนาแนวสร้างความสมดุล แข่งขันอย่างเป็นธรรม กระจายทรัพย์สินรายได้อย่างเป็นธรรม เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ ให้มีสวัสดิการสังคมที่ดี อย่างที่ ดร.ป๋วยนำเสนอ
การที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และเครือข่ายผู้ยกย่อง ดร.ป๋วย หางบประมาณพันๆ ล้านบาทมาสร้างอุทยานการเรียนรู้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะมีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อเมื่อจัดสรรงบส่วนหนึ่งมาจ้างคนทำงานประจำ และจัดกิจกรรมดึงดูดให้เยาวชนและประชาชน สนใจเรียนรู้และช่วยกันพัฒนาต่อแนวคิดปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมของ ดร.ป๋วย ให้มีพลังอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นแค่อนุสรณ์สถานที่ทิ้งร้าง และมีกิจกรรมรำลึกแค่ปีละ 1 ครั้ง และมีคนมาร่วมน้อยลงตามลำดับอย่างอนุสรณ์สถานอื่น
มาร่วมรำลึกถึง คาราวะ “ดร.ป๋วย” รวมพลังกันปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นสังคมสันติประชาธรรม พบกันที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ หอประชุมศรีบูรพา วันที่ 9 มีนาคมในเวลา 09.00-17.30 น.