เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม

ถ้าสิ่งแวดล้อมและโลก พูดได้ คงร้องออกมาเป็นเพลง "เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรียม ....

ในขณะที่โลกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีความเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง พฤติกรรมของผู้บริโภคก็ปรับตัวตามไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ความสะดวกสบายเหมือนจะดีเมื่อเทียบกับในอดีต หากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ที่ต้องนำมาใช้เพื่อแปรรูปเป็นสิ่งต่างๆ รวมถึงพลังงานในการขับเคลื่อนโลก

 บางครั้งการแข่งขันกันทางธุรกิจแบบตัวใครตัวมัน เพื่อแย่งชิงลูกค้าและส่วนแบ่งทางการตลาด โดยไม่แยแสหรือสนใจกับภาระที่เกิดขึ้นต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรส่งเสริม สำหรับในสังคมที่ได้รับการปลูกฝังถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และมีค่านิยมในการดูแลรักษาหวงแหนความเป็นธรรมชาติแล้ว การจะทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะโดยส่วนบุคคลหรือทำในรูปขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางธุรกิจหรือไม่ก็ตาม การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการไม่สร้างภาระเพิ่มเติมจะเริ่มกลายเป็นค่านิยมใหม่ที่ต้องทำให้ได้

 เชื่อว่าทุกวันนี้แทบมีน้อยคนมากที่จะพึ่งพาการสื่อสารแบบมีสาย ทุกคนมีโทรศัพท์ไร้สายหรือที่เรียกติดปากกันว่า “มือถือ” อย่างน้อยคนละหนึ่งเครื่อง และส่วนใหญ่ก็จะเป็น smart phone ที่มีขีดความสามารถด้านการใช้งานข้อมูลออนไลน์ มากกว่าการมีไว้เพื่อพูดคุยสื่อสารกันด้วยเสียง บางคนมีมากกว่าหนึ่งเครื่อง แล้วถ้าสำรวจไปถึงแต่ละครัวเรือน ลองนับดูได้ว่าสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ในทุกห้อง ตั้งแต่ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ จนถึงห้องนอน ล้วนแล้วแต่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มากมาย เหล่านี้เมื่อใช้งานไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพใช้การไม่ได้ เมื่อเสียก็คงไม่มีใครซ่อม เพราะค่าซ่อม (ค่าอะไหล่ บวกค่าแรง และค่าบริการ) มีราคาสูงจนเรารู้สึกว่า ซื้อใหม่ถูกกว่า แถมยังมีประสิทธิภาพ และความสามารถสูงกว่าเดิม

 ดังนั้นเมื่อขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลก บริษัทหรือสถานประกอบการเจ้าของสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ ที่มีคนใช้งานมากมายก็เริ่มที่จะตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองมีส่วนทำให้เกิดขึ้น แน่นอนส่วนหนึ่งมาจากข้อตกลงร่วมกันในเวทีเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศมากมายหลายกลุ่ม ที่พยายามกำหนดกฎกติกาจนไปถึงการบังคับห้ามใช้บางสิ่งบางอย่างที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อม บางเหตุผลเกิดจากการแข่งขันที่จะต้องลดต้นทุนและการสร้างแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 แน่นอนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ตกยุคและเปลี่ยนรุ่นเร็วมาก เนื่องด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าของสินค้าแบรนด์ดังต่างๆ ที่ทำการตลาดขายสินค้าไปทั่วโลกนับหลายล้านชิ้น ควรที่จะแข่งขันกันเป็นผู้นำในการแสดงความรับผิดชอบต่อนวัตกรรมที่ท่านสร้าง

 ทุกครั้งเวลาได้มีโอกาสชมการถ่ายทอดการเปิดตัวสินค้าเทคโนโลยีแบรนด์ดัง ไม่ว่าจะมาจากค่ายยุโรป สหรัฐ หรือแม้แต่ในเอเชีย รวมไปถึงการติดตามข่าวออนไลน์ผ่านสำนักข่าวต่างๆก็ตาม นอกจากนวัตกรรมใหม่ที่นำเสนอแล้ว ผมมักให้ความสำคัญกับประเด็นหรือสิ่งที่ซ่อนมากับการนำเสนอนั้นๆ ผมกำลังจะดูว่าผู้บริหารองค์กรกำลังจะสื่อถึงทิศทางอะไรบางอย่างที่เขาจะทำ กรณีบริษัท APPLE ซึ่งอาจจะเคยมีข่าวด้านลบเกี่ยวกับการว่าจ้างโรงงานในจีนที่มีการใช้แรงงานไม่ถูกต้องนัก แต่ในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผมต้องยอมรับว่ามีนโยบายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ และที่สำคัญที่สุดคือตั้งใจทำและทำได้จริงแบบไม่ยอมอ่อนข้อ

 ตั้งแต่การควบคุมที่แหล่งกำเนิด (Source control) คือการลด ละ เลิกวัสดุทีสร้างมลพิษ และหันไปใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษ ย่อยสลายได้ง่าย ไม่ทิ้งสารตกค้าง และเมื่อเป็นสินค้าที่หมดสภาพไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ยังสามารถใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือแปรรูปชิ้นส่วนต่างๆให้อยู่ในรูปแบบอื่นได้

 ถ้าสิ่งแวดล้อมและโลก พูดได้ คงร้องออกมาเป็นเพลง "เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญของเรียม ...." Liam คือชื่อเทคโนโลยีการถอดชิ้นส่วน (Disassembly) ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วหรือเสื่อมสภาพ ออกเป็นชิ้นส่วนย่อยเหมือนตอนก่อนประกอบเป็นสินค้า ถือเป็นกระบวนการย้อนกลับของการประกอบสินค้าสำเร็จรูป (Assembly) จากประโยคที่ว่า True innovation means considering what happens to a product at every stage of its life cycle. Liam disassembles your iPhone when it’s no longer functioning, so the materials inside can live on.

 จากคลิป VDO ซึ่งแสดงถึงเทคโนโลยีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรนิกส์ เพื่อการรีไซเคิล ซึ่งนำเสนอไว้ในช่วงหนึ่งของหัวข้อ Environment ในงาน Apple Special Event เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2016 ที่ผ่านมา เป็นการตอกย้ำถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ชั้นนำนี้ และเชื่อว่าน่าจะป็นสิ่งที่โลกต้องการในยุคขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลก จากคำประกาศที่เสมือนคำมั่นสัญญาต่อสาธารณะที่ว่า "Our goal is to become 100% renewable" ที่หมายความว่าต่อไปนี้จะไม่มีคำว่าขยะ ในเมื่อทุกสิ่งสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้ซ้ำได้หลายๆครั้ง หรือถอดแยกออกเป็นองค์ประกอบย่อยเพื่อนำกลับไปใช้งาน หรือแปลงสภาพให้อยู่ในรูปแบบอื่นๆก็ตาม

 ถ้าจะมีอะไรที่ผมในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่ามีความคิดเหมือนกับผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยในโลกนี้คือ อยากให้ผู้ประกอบการและผู้บริหารองค์กรที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการ ได้กำหนดนโยบาย ทิศทาง และเป้าหมายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมแบบที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ และที่สำคัญที่สุดบรรจุไว้ในข้อกำหนดทางธุรกิจ ระเบียบปฏิบัติการทำงานในทุกขั้นตอนกระบวนการ อีกทั้งยังตามไปรับผิดชอบในการจัดการกับขยะที่เกิดขึ้นหลังจากผลิตภัณฑ์นั้นได้เสื่อมสภาพไปแล้ว ในห้วงเวลานี้คำว่า “มืออาชีพ” ในหัวของผมจึงมีความหมายถึง “ความรับผิดชอบ” ที่ทำจนเป็นหน้าที่ และยึดมั่นอยู่ในจิตสำนึก

 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถชมคลิปย้อนหลังได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=AYshVbcEmUc